Written by: #CreativeTone x #Liberator
ภัยธรรมชาตินับวันจะยิ่งรุนแรงและสร้างความเสียหายให้กับทั่วโลกมากขึ้นเรื่อยๆ
ข้อมูลของ WWF ระบุว่า ถ้าอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส โอกาสที่น้ำจะท่วมนั้น มีสูงถึง 100% แต่ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้น 2 องศาเซลเซียส โอกาสน้ำท่วมจะเพิ่มขึ้นมาอีกเป็น 170% เลยทีเดียว
ซึ่งผลกระทบนี้ส่งผลให้สัตว์นานาชนิดและแมลงต่างๆ หายไปถึง 18% รวมทั้งพืชพันธ์ุอีก 6% ด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ผลจากภัยแล้ง น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ก็ทำให้เกิดผลกระทบมูลค่าสูงถึง 410 ล้านดอลลาร์อีกต่างหาก
และด้วยกรณีศึกษาที่พบว่า อุณหภูมิของโลกมีโอกาสสูงขึ้น 2 องศาเซลเซียส จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้นำหลายประเทศ รวมถึงบริษัทชั้นนำต่างๆ ต้องปรับเป้าหมายและหาวิธีการเข้าสู่ Net Zero อย่างจริงจังมากกว่าเดิม ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีป้องกันไม่ให้วิกฤติดังกล่าว
Net Zero หมายถึง ความพยายามไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศเพิ่มเติม หรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศให้น้อยที่สุด รวมถึงมีแนวทางจัดการกำจัดก๊าซเรือนกระจกที่ถูกผลิตออกมา
อย่างไรก็ตาม ถ้ากล่าวถึงเทรนด์ Net Zero ในมุมของการลงทุนแล้ว เห็นได้ชัดว่า บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์มีการผลักดันและสร้างกระแสให้กว้างออกไปมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นมีการกดดันให้แบงก์ใหญ่ในยุโรปอย่าง Barclays-BNP ยุติการให้สินเชื่อกับบริษัทผลิตน้ำมันภายในปี 2023
หรือกรณีที่ Man Group-Amundi-HSBC ใช้สิทธิผู้ถือหุ้นรายใหญ่ กดดันบริษัท J-Power บริษัทผลิตไฟฟ้าด้วยถ่านหินของญี่ปุ่น ให้ปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตไปใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น
เมื่อบริษัททั่วโลกเริ่มเอา Net Zero มาเป็นเป้าหมาย ก็นับเป็นโอกาสของการลงทุนเช่นกัน และเพื่อเป็นการเข้าใจการลงทุนในกระแส Net Zero มากขึ้น ในโพสต์นี้เราจะมาดูข้อดี-ข้อเสีย รวมถึงผลิตภัณฑ์การลงทุนตามเทรนด์ Net Zero พร้อมๆ กัน
====
24.06.2023
