FIFO: เบื้องหลังวิธีคำนวณ ต้นทุนหุ้นในพอร์ตนักลงทุน
ไม่ว่าเราจะ ลงทุนหุ้นไทย หรือ ลงทุนหุ้นอเมริกา หรือทำธุรกิจซื้อมาขายไป สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องรู้เป็นลำดับแรกๆ คือ ต้นทุนสินค้าที่เรากำลังจะขาย และ ราคาสินค้าที่เราจะขายได้
เพราะข้อมูลชุดนี้จะทำให้เรารู้ว่า กำไร ที่เราจะได้เป็นเงินเท่าไหร่ คุ้มค่าไหมกับเงินที่จะต้องลงทุนไป แล้วกำไรมากหรือน้อยก็มีผลกับการจัดการเงินทุน บริหารสภาพคล่องของธุรกิจอีก
สำหรับนักลงทุนนั้นง่ายหน่อย เพราะมีระบบช่วยคำนวณต้นทุนหลังบ้านให้เรียบร้อยแล้วในหน้า Portfolio โดยจะคิดคำนวณต้นทุนด้วยหลักทางบัญชีที่เรียกว่า FIFO (First in First out) ดังนั้น ไม่ว่าจะซื้อ-ขายบ่อยแค่ไหน ต้นทุนเฉลี่ยก็จะถูกคำนวณไว้ให้เราเรียบร้อยแล้ว
(ถ้าต้องการดูว่าเรามีต้นทุนการซื้อหุ้นแต่ละไม้เท่าไหร่บ้าง สามารถเช็คได้จากคำสั่งซื้อขายย้อนหลังครับ)
FIFO และ WAC คืออะไร?
FIFO (First in First out) เป็นวิธีการคำนวณหาต้นทุนเฉลี่ยของสินค้าในมือ โดยจะตั้งสมมติฐานว่า สินค้าที่ถูกซื้อเข้ามาก่อนจะถูกนำออกไปขายก่อน เพราะในทางปฏิบัติจะให้มาตามเช็คว่าสินค้าล็อตที่ A ถูกซื้อเข้ามา ถูกนำไปขายเดือนไหน ขายให้ใคร ขายได้ราคาเท่าไหร่บ้าง ถ้ามีสินค้าเข้ามาพร้อมกันหลายๆ ล็อตหน่อยก็ทำให้นักบัญชีปวดหัวมากๆ
สำหรับค้นทุนเฉลี่ยของหุ้นในบัญชีเรา คิดง่ายๆ จาก:
ต้นทุนรวมของหุ้น / จำนวนหุ้นทั้งหมด
ตัวอย่างของการคิดต้นทุนหุ้นที่ซื้อขายตามแนวโน้ม เช่น
เราซื้อ หุ้น AAA (ชื่อสมมติ) 3 ครั้ง
- ครั้งที่ 1 ซื้อ 1,000 หุ้น หุ้นละ 10 บาท รวม 10,000 บาท
- ครั้งที่ 2 ซื้อ 500 หุ้น หุ้นละ 12 บาท รวม 6,000 บาท
- ครั้งที่ 3 ซื้อ 200 หุ้น หุ้นละ 13 บาท รวม 2,600 บาท
ต้นทุนรวมของการซื้อหุ้น 3 ครั้ง เท่ากับ 18,600 บาท ได้จำนวนหุ้น 1,700 หุ้น คิดเป็นต้นทุนเฉลี่ยเท่ากับ 18,600 / 1,700 = 10.94 บาทต่อหุ้น
ภาษาทางการจะเรียกต้นทุน 10.94 บาทนี้ว่า ต้นทุนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (Weighted Average Cost)
FIFO มีผลอะไรกับนักลงทุน?
สำหรับนักลงทุน FIFO จะทำให้เราสับสนในวันที่เราตัดสินใจ ขายหลักทรัพย์ ออกมาครับ
เพราะหลักการของ FIFO คือ การขายสินค้าที่เราซื้อชุดแรกออกไปก่อน ดังนั้น ยอด Unrealized P/L ที่เราเห็นในหน้า Portfolio กับยอด Realized P/L ที่เราขายไปจริงนั้นจะเป็นยอดตัวเลขไม่เท่ากัน
ตัวอย่างก่อนหน้านี้เราคุยกันว่า
- มีหุ้น AAA (ชื่อสมมติ) จำนวน 1,700 หุ้น ต้นทุนเฉลี่ย 10.94 บาท
- ถ้าเราขายหุ้น AAA ไปจำนวน 500 หุ้นที่ราคา 14 บาท
- กำไรที่เราจะได้จริง คือ ราคาขาย 14 บาท – ต้นทุนการซื้อไม้แรก 10 บาท = 4 บาทต่อหุ้น
- กำไรที่เราเห็นก่อนขาย คือ ราคาขาย 14 บาท – ต้นทุนเฉลี่ย 10.94 บาท = 3.06 บาทต่อหุ้น
- ต้นทุนเฉลี่ยของหุ้น AAA หลังจากที่เราขายหุ้นออกไปจะกลายเป็น:
- 500 หุ้น ที่ราคา 10 บาท รวม 5,000 บาท
- 500 หุ้น ที่ราคา 12 บาท รวม 6,000 บาท
- 200 หุ้น ที่ราคา 13 บาท รวม 2,600 บาท
- คิดเป็นยอดรวมเท่ากับ 13,600 บาท และ 1,200 หุ้นที่เหลือ
- ต้นทุนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักใหม่หลังจากขายหุ้นไปแล้วเท่ากับ 13,600 / 1,200 = 11.33 บาทต่อหุ้น
อย่างไรก็ตาม เรื่อง FIFO ที่ทางทีมงานเขียนขึ้นมานั้นตั้งใจให้เป็นเกร็ดความรู้เท่านั้น สิ่งสำคัญในการเลือกลงทุนหุ้นคือการประเมินโอกาสที่เราจะได้กำไรก่อน ถ้าเราพยายามจะซื้อหุ้นให้ได้ต้นทุนเฉลี่ยที่ต่ำที่สุด มีโอกาสมากทีเดียวที่เราจะไปจั่วเจอ หุ้นขาลง และอาจทำให้เกิดความเสียหายที่ยากจะแก้ไขได้
ในทางตรงกันข้าม หากเราเป็นนักลงทุนระยะยาวหรือนักลงทุนที่เก็งกำไรตามแนวโน้ม การที่เราซื้อถัวเฉลี่ยตอนราคามีแนวโน้มขาขึ้น ถึงแม้ต้นทุนเฉลี่ยเราจะสูงขึ้น แต่นั่นก็หมายความว่าราคาที่เราจะขายได้ก็สูงขึ้นไปด้วยนะ
ดังนั้น อย่าให้ต้นทุนถัวเฉลี่ยใน Portfolio หลอกเรา ดูที่แนวโน้มของกิจการ ดูที่กลยุทธ์การลงทุนว่าเหมาะสมกับเราหรือไม่ ถ้ามันใช่ เราทำได้สม่ำเสมอ วงการนี้พร้อมให้ผลตอบแทนกับคนที่มีวินัยครับ
____
💙 มีพอร์ตกับ Liberator เทรดคุ้ม เรียนรู้สนุกตลอดทั้งปี !!
เปิดพอร์ตใหม่ เทรดฟรี ไม่มีค่าคอม 1 เดือน :
https://go.liberator.co.th/xlnX/LIBDL