เมื่อการลงทุนเปิดกว้างขึ้นให้เราลงทุนต่างประเทศได้ง่ายมากขึ้น

ไม่ว่าจะซื้อหุ้นโดยตรง หรือ ลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อช่วยลดภาระเรื่องภาษี ก็ลงทุนได้ง่าย

แล้วเราต้องรู้อะไรบ้างก่อน ใส่เงิน ลงทุนเข้าไปในกองทุนต่างประเทศ?

เริ่มต้นเรียนรู้เรื่องการลงทุนหุ้นไทย, หุ้นสหรัฐอเมริกา, กองทุนรวม, TFEX แบบเต็มอิ่มได้ที่ Liberator

ดาวน์โหลดแอปและเปิดบัญชีกับ Liberator ที่นี่

เรื่องต้องรู้ก่อนลงทุนกองทุนหุ้นต่างประเทศ

1. เรากำลังจะลงทุนประเทศแบบไหน?

2. เรากำลังจะลงทุนสินทรัพย์แบบไหน?

3. กองทุนที่เรากำลังเล็งๆ บริหารค่าเงินอย่างไร เราได้เปรียบเพิ่มขึ้นไหม?

และท้ายที่สุด เรา เลือกกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศทั่วโลก ให้เราลองศึกษาได้ง่ายๆ ด้วย

ถ้าใครมีคำถามเหล่านี้อยู่ หรือแม้แต่นักลงทุนที่พอมีประสบการณ์แล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่าเราเข้าใจถูกต้องหรือไม่ วันนี้ #เด็กการเงิน มีคำตอบพร้อมคำอธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ มาให้เช่นเคย

 

เรากำลังลงทุนประเทศแบบไหน?

เราเริ่มต้นลงทุนประเทศไหนดี? อยากลงทุนหลายที่พร้อมกัน ทำได้ไหม?

ข้อแรกนี้สำคัญมาก เพราะประเทศแต่ละแบบมีนิสัย มีผลตอบแทน และความเสี่ยงไม่เหมือนกัน

ในระยะเริ่มต้น เรายังไม่แนะนำให้นักลงทุนมือใหม่ลงทุนแค่ประเทศใดประเทศหนึ่ง (เช่น ลงแต่หุ้นจีน, ลงแต่หุ้นไทย, ลงแต่หุ้นอังกฤษ FTSE)

เพราะถ้าเลือกประเทศได้ไม่ถูกต้อง เจอเศรษฐกิจถดถอยหรือติดหล่มเป็นระยะเวลาหลายปี เราอาจขาดทุนหนักได้ ควรเริ่มต้นจากการเลือกลงทุน เป็นภูมิภาค หรือ เป็นกลุ่มประเทศก่อน

 

สำหรับนักลงทุน ตลาดในประเทศต่างๆ มี 3 กลุ่ม คือ

1) Developed Markets (กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว)

2) Emerging Markets (กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา)

3) Frontier Markets (กลุ่มประเทศที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา)

 

Developed Markets หรือ กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว มีลักษณะดังนี้

  • ตลาดมีขนาดใหญ่แล้ว เติบโตช้าๆ ยาวๆ มีความมั่นคง ยกเว้นว่ามีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีใหม่ที่เปลี่ยนโลกได้
  • มีกฎระเบียบที่เข้มงวด มีคนคอยตรวจสอบหลายฝ่าย ตลาดมีความยุติธรรม 
  • มีคนอยากซื้อ-ขายตลอดเวลา มีสภาพคล่อง มีโอกาส
  • คนที่ลงทุนในประเทศกลุ่มนี้มักเป็น นักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนรวม, นักลงทุนรายย่อยที่เน้นหุ้นคุณภาพ
  • ประเทศในกลุ่มนี้ เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส ฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เป็นต้น

 

Emerging Markets หรือ กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ มีลักษณะดังนี้

  • เศรษฐกิจกำลังจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีโอกาสได้ขยายตลาดใหม่ๆ
  • กฎระเบียบเริ่มเข้มงวด แต่ไม่มีหน่วยงานตรวจสอบเข้มข้นเท่ากับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว อำนาจอาจอยู่ในกลุ่มการค้าหรือคนบางกลุ่ม
  • ราคาหุ้นและสินทรัพย์จะขึ้น-ลงได้มากจากสภาพเศรษฐกิจและการเมือง
  • คนที่ลงทุนในประเทศกลุ่มนี้เริ่มมีนักลงทุนสถาบัน มีปริมาณเงินหมุนเวียนมากขึ้น โดยที่สภาพคล่องยังรองรับได้
  • ประเทศในกลุ่มนี้ เช่น จีน อินเดีย รัสเซีย ไต้หวัน ไทย เป็นต้น

 

Frontier Market หรือ กลุ่มประเทศที่เพิ่งเริ่มพัฒนา

  • เศรษฐกิจและตลาดหุ้นยังมีขนาดเล็กในเรื่องของการเติบโตที่ยังอยู่ในระดับเริ่มต้นเท่านั้น
  • กฎเกณฑ์ยังคงบกพร่อง ต้องพัฒนาอีกหลายจุด 
  • ราคาหุ้นและสินทรัพย์กระโดดไป มา ค่าเงินมีความเสี่ยงสูง มีสภาพคล่องต่ำมากที่สุดในทุกกลุ่ม 
  • เปิดให้นักลงทุนต่างประเทศเข้าลงทุนจำกัด ยังมีนักลงทุนรายใหญ่ไม่มาก เมื่อเวลาผ่านไป ประเทศในกลุ่มนี้อาจขยับขึ้นไปเป็น Emerging Market ได้
  • ประเทศในกลุ่มนี้ เช่น เวียดนาม บังคลาเทศ ศรีลังกา โครเอเชีย เป็นต้น

สรุป:

ถ้าชอบการเติบโตระยะยาว ช้าๆ ลงทุนระยะยาว 5-10 ปี รับความเสี่ยงได้ต่ำ เลือกประเทศที่พัฒนาแล้ว

ถ้าชอบโอกาสการเติบโตรวดเร็วใน 2-3 ปี ดูธีมเศรษฐกิจและเลือกประเทศตลาดเกิดใหม่

ถ้ารับความเสี่ยงได้สูงมาก ลุ้นโอกาสเติบโตขนาดใหญ่ในระยะยาว เลือกประเทศที่เพิ่งเริ่มพัฒนา

เราไม่จำเป็นต้องเลือกลงทุนแค่กลุ่มประเทศใดประเทศเดียว เราลดความเสี่ยงได้ด้วยการกระจายเงินไปลงทุนประเทศหลายๆ ภูมิภาค ซึ่งทำได้ในกองทุนรวมเดียว

คำตอบคือทำได้ เพราะเรามีกองทุนหุ้นโลกที่น่าสนใจคือ กองทุน KFWINDX-A และกองทุน KT-GEQ-A

 เรากำลังลงทุนสินทรัพย์แบบไหน?

เวลาเลือกกองทุนต่างประเทศ จะมีประเด็นย่อยหลักๆ 

  1. เราลงทุนกองทุนหุ้น หรือ ตราสารหนี้?
  2. กลยุทธ์ลงทุนเป็นแบบไหน เน้นสะสมเงินปันผล รายได้ หรือ เน้นสะสมการเติบโต
  3. เราลงทุนหุ้นภูมิภาคเดียว หรือ หลายภูมิภาค?

ไม่ว่าจะลงทุนสินทรัพย์แบบไหน ประเด็น ค่าเงิน คือ สิ่งที่เราควรเข้าใจก่อน 

เพราะมีผลให้เราอาจได้กำไรเพิ่มขึ้น หรือ ลดลงได้

 

กองทุนรวมบริหารค่าเงินอย่างไร? เราได้เปรียบไหม?

ประเด็นต่อมาที่มีผลต่อการตัดสินใจ คือ เรื่อง ค่าเงิน เพื่อให้เข้าใจเรื่องค่าเงินมากขึ้น 

ถ้าเราซื้อกองทุนรวมฯ ตอนค่าเงิน 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ 

ถ้าค่าเงินบาท กลายเป็น 37 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ แปลว่า บาทอ่อนลง เราจะได้กำไรมากขึ้น (เงินบาทอ่อนแอลง)

ถ้าค่าเงินบาท กลายเป็น 30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ แปลว่า บาทแข็งขึ้น เราจะได้กำไรน้อยลง (เงินบาทแข็งแกร่งขึ้น)

ค่าเงินมีผลต่อกำไร-ขาดทุนของกองทุนรวมด้วย ซึ่งเราเลือกได้ว่าจะเอากองทุนรวมที่ ป้องกันค่าเงิน หรือ ไม่ป้องกันค่าเงิน

1. กองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Hedge) ส่วนมากจะไม่ต่ำกว่า 80% หรือขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน

2. กองทุนไม่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Unhedged)

 

กองทุนที่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Hedge) เป็นกองทุนที่ค่าเงินทำอะไรกับกำไรขาดทุนของกองทุนนี้ได้น้อยหรือไม่ได้เลย เพราะกองทุนรวมเขาจัดการ Hedge ค่าเงินไว้แล้ว ผลตอบแทนของกองทุนหลักจะส่งผ่านมาถึงกองทุนรวมที่เราลงโดยตรง แต่จะมีค่าธรรมเนียมและต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินเล็กน้อย 

ผลตอบแทนของกองทุนที่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินจะล้อไปกับกองทุนหลักเสมอ (ไม่เท่าและไม่มากกว่ากองทุนหลัก เพราะมีต้นทุนค่าเงิน)

กองทุนที่ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Unhedged) เป็นกองทุนที่ค่าเงินจะมีผลกับกำไรขาดทุน อย่างไรก็ตาม กองทุนกลุ่มนี้จะได้รับผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากค่าเงิน หากเงินบาทอ่อนค่า หรือขาดทุนค่าเงินหากเงินบาทแข็งค่า ทำให้ผลตอบแทนจะน้อยกว่ากองทุนที่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Hedge) กองทุนประเภทนี้จะมีค่าธรรมเนียมต่ำลง แลกกับความเสี่ยงค่าเงินที่เพิ่มขึ้น

 วิธีดูว่ากองทุนรวมนี้ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินหรือไม่ ให้มองหาหน้า สถิติสำคัญ > FX Hedging ยิ่งเลขนี้สูงแปลว่ายิ่งป้องกันความเสี่ยงมาก

สรุปได้ว่า: 

  1. ถ้ารับความเสี่ยงค่าเงินไม่ได้ เราควรซื้อกองทุนรวมที่ปกป้องความเสี่ยงค่าเงิน (hedge)
  2. ถ้ารับความเสี่ยงค่าเงินได้ มองว่าเงินบาทจะอ่อนลง (ดอลลาร์สหรัฐฯ จะแข็งขึ้น จาก 33 บาท ไป 37 บาท) มีโอกาสได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น เราควรซื้อกองทุนที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Unhedge)

 

สนใจกองทุนรวมของหลายประเทศ ควรทำอย่างไร?

กองทุนรวมหุ้นอเมริกาก็น่าสนใจ เติบโตได้ในระยะยาว

กองทุนรวมหุ้นจีนก็น่าสนใจ จากกระแสหุ้นเทคโนโลยีราคาถูก

เราอยากลงทุนทั้ง 2 ที่ เราสามารถทำได้ 2 ทางเลือก

 

1. เลือกซื้อกองทุนรวมของแต่ละประเทศและจัดพอร์ตด้วยตัวเอง

เริ่มต้นด้วยการทำการบ้าน คัดเลือกประเทศที่เราอยากลงทุนเสียก่อน เช่น สนใจกองทุนที่ลงทุนในเทคโนโลยีประเทศจีน, สนใจกองทุนหุ้นเวียดนาม, สนใจกองทุนหุ้นสหรัฐอเมริกา 

จากนั้นมาคัดเลือกกองทุนที่ดีที่สุดในกลุ่มทั้งเรื่องค่าธรรมเนียม ความสามารถ มาจัดน้ำหนักด้วยตนเอง แล้วทยอยซื้อไปตามแผน

 

เวลาเปรียบเทียบกองทุน เราต้องอ่าน Factsheet และตอบให้ได้ว่า:

  • กองทุนนี้ลงทุนอะไร? ถ้าลงผ่านกองทุนรวมอีกทีต้องดูกองทุนหลัก
  • เป็นกองประเภท Active (บริหารเชิงรุก เน้นทำให้ดีกว่าดัชนี) หรือ Passive (บริหารเชิงรับ เน้นตามดัชนี)
  • กองทุนรวมนี้มีความเสี่ยงเท่าไหร่ เรารับได้หรือไม่ 
  • มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงค่าเงินอย่างไร

 

2. ซื้อกองทุนรวมที่กระจายลงทุนหลายประเทศทีเดียวจบ

ถ้าการคัดเลือกกองทุนรวมหลายๆ ประเทศดูซับซ้อน ยุ่งยาก 

มีกองทุนรวมที่ จัดสัดส่วนการลงทุนต่างประเทศไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เหมาะสำหรับมือใหม่ด้วย 

บนแอป Liberator มีกองทุนรวมหุ้นทั่วโลกที่ง่าย เหมาะกับมือใหม่โดดเด่น อยู่ 2 กองทุน คือ

  • กองทุนรวม KT-GEQ-A
  • กองทุนรวม KFWINDX-A

ทั้ง 2 กองทุนลงทุนในกองทุนหลัก iShares MSCI ACWI ETF กองเดียวกัน ซึ่งกระจายเงินไปลงทุนหลายประเทศ หลายอุตสาหกรรม

สิ่งที่แตกต่างกันระหว่าง 2 กองทุนนี้ คือ นโยบายป้องกันความเสี่ยงค่าเงินที่มี % FX Hedging ต่างกัน

ข้อสังเกต คือ ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทนั้น แข็งค่าขึ้น (เงินบาทเท่าเดิมซื้อดอลลาร์สหรัฐฯ ได้มากขึ้น จาก 36.750 > 33.786) 

Reminder: เงินบาทแข็งค่า แปลว่า เงินบาทเท่าเดิม ซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้มากขึ้น

ถ้ามองว่า เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า > ควรเลือกกองทุน Unhedge เพื่อรับกำไรจากค่าเงินเพิ่ม

ถ้ามองว่า เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า > ควรเลือกกองทุนแบบ Hedge เพื่อรักษากำไรเอาไว้

อยากเริ่มต้นลงทุนกองทุนรวมควรเริ่มอย่างไร?

เริ่มต้นเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการคัดเลือกกองทุนรวมได้บนแอป Liberator > Feed > Review เพื่อติดตามบทความดีๆ ให้แง่คิดเกี่ยวกับการลงทุนกองทุนรวม

หรือเริ่มต้นจากการเข้าเรียนใน LIB Academy มนุษย์เงินเดือนและการลงทุน > มนุษย์เงินเดือนกับการลงทุน - Liberator

ซึ่งเข้าเรียนได้ทันทีตั้งแต่บัญชีได้รับอนุมัติ เปิดบัญชีกับ Liberator ตอนนี้ เริ่มต้นลงทุนได้ง่ายยิ่งกว่า