บทความ LIB Learn เดิม
5 ลักษณะของหุ้นผู้ชนะ
Written by: #StockVitamins x #Liberator
หุ้นในตลาด 800-900 บริษัท เราจะรู้ได้อย่างไรว่าหุ้นตัวไหนมีโอกาสเป็น Winning Stock ที่จะทำกำไรให้กับเราได้แบบเยอะๆ วันนี้เราจะมาศึกษาลักษณะเฉพาะตัวของหุ้นผู้ชนะกันครับว่าควรเป็นอย่างไรกันบ้าง
1. ผู้บริหาร เก่ง มีวิสัยทัศน์ และซื่อสัตย์
เรือที่จะล่องไปถึงฝั่ง หรือรถที่จะขับไปให้ถึงเป้าหมาย ก็ต้องมีกัปตัน หรือคนขับที่เก่ง รู้จักเส้นทาง และขับจนถึงเส้นชัยได้ ในแง่ของธุรกิจก็ไม่ต่างกัน เราต้องการหัวเรือหรือผู้บริหารที่เก่ง เข้าใจธุรกิจ มีวิสัยทัศน์ ที่จะมองออกได้ว่า ควรจะทำอะไรแบบไหนให้ธุรกิจเติบโตไปข้างหน้าได้ มีมุมมองที่พิเศษกว่าคนทั่วไป แก้ปัญหาต่างๆ ได้ดี
แต่ไม่ใช่แค่เก่ง มีวิชั่นแล้วจะพอ แต่เราอยากเห็นผู้บริหารที่ซื่อสัตย์ไม่โกงทั้งกับบริษัทหรือไม่โกงนักลงทุนด้วย เราก็จะได้อุ่นใจในการซื้อหุ้นที่มีผู้นำแบบนี้ ถ้าทุกอย่างดีหมด เสียอย่างเดียว คือ เป็นคนขี้โกง แบบนี้ให้เลิกยุ่งเด็ดขาด เพราะเราอาจหมดตัวถ้าคบกับคนแบบนี้
2. มี DCA อะไรบางอย่างที่ได้เปรียบ
ถ้าสินค้าเหมือนกัน แต่คนละแบรนด์ ผู้บริโภคบอกว่า เอาอะไรก็ได้ ไม่ต่างกัน แบบนี้ไม่ดี เราต้องหาหุ้นที่มีความพิเศษที่แตกต่าง มี DCA หรือ Durable Competitive Advantage ความเก่งอะไรบางอย่างที่คนอื่นไม่มีหรือทำตามได้ยาก เช่น
• ได้เปรียบในแง่ต้นทุน อยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ มี connection กับ supplier
• ได้เปรียบในแง่รายได้ เพราะมีลูกค้ารายใหญ่อยู่ในมือ หรือแบรนด์ติดตลาด
• ได้เปรียบในแง่สเกล เพราะมีสาขาเป็นหมื่น เพราะมีโรงงานใหญ่ เครื่องจักรทันสมัย ใครจะแข่งก็ยากจะตามทัน
• ได้เปรียบในแง่ความยุ่งยาก ไม่คุ้มที่จะทำ เช่น มาร์จิ้นก็ไม่ได้สูงมาก ธุรกิจซับซ้อนหลายขั้นตอน คู่แข่งก็ไม่อยากเสียเวลาเข้ามาแข่งด้วย ได้ไม่คุ้มเสีย
3. มี Runway ของการเติบโตที่ยาวไกล
การเติบโตของรายได้และกำไรต้องไม่ใช่แค่ปีเดียวแล้วจบไป ต้องไม่ใช่ธุรกิจที่เป็นกระแสฉาบฉวย หรือมีความผันผวนของตัวธุรกิจมากเกินไป เพราะเราอยากลงทุนในหุ้นที่เห็นการเติบโตไปได้ยาวๆ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ถือหุ้นยาวหลายสิบปีก็ตาม แต่การที่ runway ยาว จะเป็นการบ่งบอกถึงความมั่นคงในธุรกิจว่าจะไม่ล้มหายตายจากไปซะก่อน แถมยังเติบโตได้ดีด้วย ตลาดและมวลชนก็อยากจะเข้ามาลงทุนตามผลักดันราคาหุ้นขึ้นไปได้
4. คนส่วนใหญ่ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่แค่ยังไม่เชื่อ
หุ้นที่คนเห็นคนรู้จักกันทั้งประเทศ เล่าได้เป็นฉากๆ ว่าดีอย่างไร ไปไหนใครก็พูดถึง บทวิเคราะห์ก็มีให้อ่านกันมากมาย ไม่ใช่ว่าหุ้นแบบนี้ไม่ดี แต่มันจะเป็นหุ้นที่ขึ้นไปไกลแล้ว และบทจะลงก็จะลงตอนงบดีนี่แหละ
ต่างจากหุ้นที่คนยังพูดถึงกันไม่มาก หรือแบ่งเป็น 2 ฝ่าย มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ หรือไม่ได้ไม่ชอบ แต่ยังไม่เชื่อไม่ชัวร์ว่ามันดีจริงแค่ไหน มันจะขึ้นได้จริงหรือ หุ้นแบบนี้ต่างหากที่เราต้องมองหา ถ้าเราหาเจอ และหาให้ถูกตัว เราจะเป็นคนส่วนน้อย เมื่อไหร่ที่เราคิดถูกและผลกำไรของหุ้นตัวนั้นปรากฏชัดเจนขึ้นมา คนที่ไม่เชื่อเหล่านั้นก็จะมาเชื่อและมาซื้อหุ้นที่เราชอบนั่นเอง
5. มีจุดเปลี่ยนที่กำไรจะโตแบบก้าวกระโดด
แต่สิ่งสำคัญที่เราต้องมองหา คือ จุดเปลี่ยน หรือ Turning Point ที่จะทำให้กำไรโตแบบมากๆ จนคนต้องทัก ต้องหันมาถามว่า ทำไมงบดี เกิดอะไรขึ้น ตลาดชอบหุ้นที่โตต่อเนื่อง แต่แบบนี้ราคาหุ้นจะไม่ขึ้นแรง กลับกันตลาดจะรักหุ้นที่วันดีคืนดีกำไรโตพรวดพราด และยังมีโมเมนตัมของการโตต่อได้อีก แบบนี้หุ้นจะวิ่งแรง จุดเปลี่ยนก็อย่างเช่น
• Product Mix เปลี่ยน ไปขายสินค้าที่มาร์จิ้นสูงกว่าได้ และขายได้ต่อเนื่อง
• New Product ออกมาแล้วปัง ลูกค้าชอบ ขายดิบขายดี ต่อยอดได้ยาวๆ
• ขยายตลาดที่ยังไม่เคยไปได้ อาจจะหา Distributor ใหม่ได้ เจาะตลาดใหม่ได้ มีลูกค้าใหม่รายใหญ่กว่าเดิม เลยโตระเบิดเลยทีนี้
• กำลังการผลิตมาถึงจุดคุ้มทุน มี operating leverage ผลิตเพิ่มมากกว่านี้นิดเดียว กำไรโตมากกว่าเดิมเยอะเลย เพราะว่ามี Fix Cost ต้นทุนคงที่สูง
• คู่แข่งสะดุด แล้วเราได้จังหวะเข้าไปทดแทนพอดี
• ปัจจัยภายนอกที่เอื้อกับเราพอดี เช่น กฎหมายใหม่ El Nino, COVID ที่อาจจะไม่ดีกับคนทั่วไป แต่ดันเข้าทางเรา
ลองค้นหากันดูครับ บางทีอ่านหุ้น 100 ตัว อาจจะเจอ 2-3 ตัว อ่านหุ้น 500 ตัว อาจจะเจอ 10-20 ตัว แต่แค่นั้นก็อาจจะเพียงพอที่จะเปลี่ยนชีวิตเราได้ ถ้าเราเจอ Wining Stock ขึ้นมาจริงๆ
หุ้นในตลาด 800-900 บริษัท เราจะรู้ได้อย่างไรว่าหุ้นตัวไหนมีโอกาสเป็น Winning Stock ที่จะทำกำไรให้กับเราได้แบบเยอะๆ วันนี้เราจะมาศึกษาลักษณะเฉพาะตัวของหุ้นผู้ชนะกันครับว่าควรเป็นอย่างไรกันบ้าง
1. ผู้บริหาร เก่ง มีวิสัยทัศน์ และซื่อสัตย์
เรือที่จะล่องไปถึงฝั่ง หรือรถที่จะขับไปให้ถึงเป้าหมาย ก็ต้องมีกัปตัน หรือคนขับที่เก่ง รู้จักเส้นทาง และขับจนถึงเส้นชัยได้ ในแง่ของธุรกิจก็ไม่ต่างกัน เราต้องการหัวเรือหรือผู้บริหารที่เก่ง เข้าใจธุรกิจ มีวิสัยทัศน์ ที่จะมองออกได้ว่า ควรจะทำอะไรแบบไหนให้ธุรกิจเติบโตไปข้างหน้าได้ มีมุมมองที่พิเศษกว่าคนทั่วไป แก้ปัญหาต่างๆ ได้ดี
แต่ไม่ใช่แค่เก่ง มีวิชั่นแล้วจะพอ แต่เราอยากเห็นผู้บริหารที่ซื่อสัตย์ไม่โกงทั้งกับบริษัทหรือไม่โกงนักลงทุนด้วย เราก็จะได้อุ่นใจในการซื้อหุ้นที่มีผู้นำแบบนี้ ถ้าทุกอย่างดีหมด เสียอย่างเดียว คือ เป็นคนขี้โกง แบบนี้ให้เลิกยุ่งเด็ดขาด เพราะเราอาจหมดตัวถ้าคบกับคนแบบนี้
2. มี DCA อะไรบางอย่างที่ได้เปรียบ
ถ้าสินค้าเหมือนกัน แต่คนละแบรนด์ ผู้บริโภคบอกว่า เอาอะไรก็ได้ ไม่ต่างกัน แบบนี้ไม่ดี เราต้องหาหุ้นที่มีความพิเศษที่แตกต่าง มี DCA หรือ Durable Competitive Advantage ความเก่งอะไรบางอย่างที่คนอื่นไม่มีหรือทำตามได้ยาก เช่น
• ได้เปรียบในแง่ต้นทุน อยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ มี connection กับ supplier
• ได้เปรียบในแง่รายได้ เพราะมีลูกค้ารายใหญ่อยู่ในมือ หรือแบรนด์ติดตลาด
• ได้เปรียบในแง่สเกล เพราะมีสาขาเป็นหมื่น เพราะมีโรงงานใหญ่ เครื่องจักรทันสมัย ใครจะแข่งก็ยากจะตามทัน
• ได้เปรียบในแง่ความยุ่งยาก ไม่คุ้มที่จะทำ เช่น มาร์จิ้นก็ไม่ได้สูงมาก ธุรกิจซับซ้อนหลายขั้นตอน คู่แข่งก็ไม่อยากเสียเวลาเข้ามาแข่งด้วย ได้ไม่คุ้มเสีย
3. มี Runway ของการเติบโตที่ยาวไกล
การเติบโตของรายได้และกำไรต้องไม่ใช่แค่ปีเดียวแล้วจบไป ต้องไม่ใช่ธุรกิจที่เป็นกระแสฉาบฉวย หรือมีความผันผวนของตัวธุรกิจมากเกินไป เพราะเราอยากลงทุนในหุ้นที่เห็นการเติบโตไปได้ยาวๆ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ถือหุ้นยาวหลายสิบปีก็ตาม แต่การที่ runway ยาว จะเป็นการบ่งบอกถึงความมั่นคงในธุรกิจว่าจะไม่ล้มหายตายจากไปซะก่อน แถมยังเติบโตได้ดีด้วย ตลาดและมวลชนก็อยากจะเข้ามาลงทุนตามผลักดันราคาหุ้นขึ้นไปได้
4. คนส่วนใหญ่ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่แค่ยังไม่เชื่อ
หุ้นที่คนเห็นคนรู้จักกันทั้งประเทศ เล่าได้เป็นฉากๆ ว่าดีอย่างไร ไปไหนใครก็พูดถึง บทวิเคราะห์ก็มีให้อ่านกันมากมาย ไม่ใช่ว่าหุ้นแบบนี้ไม่ดี แต่มันจะเป็นหุ้นที่ขึ้นไปไกลแล้ว และบทจะลงก็จะลงตอนงบดีนี่แหละ
ต่างจากหุ้นที่คนยังพูดถึงกันไม่มาก หรือแบ่งเป็น 2 ฝ่าย มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ หรือไม่ได้ไม่ชอบ แต่ยังไม่เชื่อไม่ชัวร์ว่ามันดีจริงแค่ไหน มันจะขึ้นได้จริงหรือ หุ้นแบบนี้ต่างหากที่เราต้องมองหา ถ้าเราหาเจอ และหาให้ถูกตัว เราจะเป็นคนส่วนน้อย เมื่อไหร่ที่เราคิดถูกและผลกำไรของหุ้นตัวนั้นปรากฏชัดเจนขึ้นมา คนที่ไม่เชื่อเหล่านั้นก็จะมาเชื่อและมาซื้อหุ้นที่เราชอบนั่นเอง
5. มีจุดเปลี่ยนที่กำไรจะโตแบบก้าวกระโดด
แต่สิ่งสำคัญที่เราต้องมองหา คือ จุดเปลี่ยน หรือ Turning Point ที่จะทำให้กำไรโตแบบมากๆ จนคนต้องทัก ต้องหันมาถามว่า ทำไมงบดี เกิดอะไรขึ้น ตลาดชอบหุ้นที่โตต่อเนื่อง แต่แบบนี้ราคาหุ้นจะไม่ขึ้นแรง กลับกันตลาดจะรักหุ้นที่วันดีคืนดีกำไรโตพรวดพราด และยังมีโมเมนตัมของการโตต่อได้อีก แบบนี้หุ้นจะวิ่งแรง จุดเปลี่ยนก็อย่างเช่น
• Product Mix เปลี่ยน ไปขายสินค้าที่มาร์จิ้นสูงกว่าได้ และขายได้ต่อเนื่อง
• New Product ออกมาแล้วปัง ลูกค้าชอบ ขายดิบขายดี ต่อยอดได้ยาวๆ
• ขยายตลาดที่ยังไม่เคยไปได้ อาจจะหา Distributor ใหม่ได้ เจาะตลาดใหม่ได้ มีลูกค้าใหม่รายใหญ่กว่าเดิม เลยโตระเบิดเลยทีนี้
• กำลังการผลิตมาถึงจุดคุ้มทุน มี operating leverage ผลิตเพิ่มมากกว่านี้นิดเดียว กำไรโตมากกว่าเดิมเยอะเลย เพราะว่ามี Fix Cost ต้นทุนคงที่สูง
• คู่แข่งสะดุด แล้วเราได้จังหวะเข้าไปทดแทนพอดี
• ปัจจัยภายนอกที่เอื้อกับเราพอดี เช่น กฎหมายใหม่ El Nino, COVID ที่อาจจะไม่ดีกับคนทั่วไป แต่ดันเข้าทางเรา
ลองค้นหากันดูครับ บางทีอ่านหุ้น 100 ตัว อาจจะเจอ 2-3 ตัว อ่านหุ้น 500 ตัว อาจจะเจอ 10-20 ตัว แต่แค่นั้นก็อาจจะเพียงพอที่จะเปลี่ยนชีวิตเราได้ ถ้าเราเจอ Wining Stock ขึ้นมาจริงๆ