Written by: #หนีดอย x #Liberator

ก็เป็นปกติในทุกๆปี ในช่วงเดือนมกราคมที่ทาง ARK INVEST ของ Cathie Wood ที่จะออกบทความเพื่อให้เหล่านักลงทุนได้ข้อมูลในการลงทุนด้านนวัตกรรมเปลี่ยนโลกว่าแนวโน้มปีนี้และอนาคตอีก 5-10 ปีนี้ เทคโนโลยีเหล่านี้จะไปในทิศทางใด สำหรับฉบับปีนี้ของปี 2023 ถือเป็น Big Ideas ฉบับที่ 7 นับจากฉบับแรกที่ออกมาในปี 2017 ที่เพิ่งจะออกมาในอ่านกันในวันที่ 31 มกราคม โดยมีเนื้อหาทั้งหมดราว ๆ 153 สไลด์ ซึ่งถือว่าเยอะกว่าปี 2022 ที่ผมอ่านมาอยู่ ราวๆ 20 สไลด์ได้ ว่าแต่มีอะไรบ้าง ผมจะสรุปคร่าวๆ ให้ดูนะครับ

โดยในฉบับปีนี้ Big Ideas 2023 จะแบ่งเป็น 14 หมวดย่อย ดังนี้
1. Technological Convergence
2. Artificial Intelligence
3. Digital Consumers
4. Digital Wallets
5. Public Blockchains
6. Bitcoin
7. Smart Contract Networks
8. Precision Therapies
9. Molecular Diagnostics
10. Electric Vehicles
11. Autonomous Ride-Hail
12. Autonomous Logistics
13. Robotics and 3D Printing
14. Orbital Aerospace

โดยก่อนที่จะเข้าเนื้อหาทาง Ark Invest ก็ได้ระบุถึงความเสี่ยงในการลงทุนด้านนวัตกรรมอยู่ อาทิเช่น ความไม่แน่นอนหรือปัจจัยบางอย่างที่ยังไม่สามารถหยั่งรู้ได้, การเปลี่ยนแปลงในสิ่งต่างๆอย่างรวดเร็ว, กฎและนโยบายที่ออกมาควบคุมในอุตสาหกรรมนั้นๆ, ความเสี่ยงด้านกฎหมายหรือการเมือง, การแข่งขันกันอย่างรุนแรง, การเข้าไปมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมนั้นๆในนวัตกรรมใหม่ๆ คราวนี้มาลงที่เนื้อหาหมวดย่อยกันนะครับ

1. Technological Convergence

ตามข้อมูลงานวิจัยของทีม Ark Invest ระบุว่านวัตกรรมจาก 5 ส่วน จะทำให้เกิดการเติบโตอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยมี AI เป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุด ซึ่งในส่วนของนวัตกรรมเปลี่ยนโลกนี้จะก่อให้เกิดการขยายตัวต่อปีที่ราวๆ 40% จากมูลค่า 13 ล้านล้านเหรียญ เป็น 200 ล้านล้านเหรียญ ในปี 2030 หรือเพิ่มขึ้นราว ๆ 15 เท่า โดยในปี 2030 มูลค่าตลาดในกลุ่มนวัตกรรมเปลี่ยนโลกนี้อาจครองสัดส่วนหลักของตลาดหุ้นทั้งโลกเลยก็ว่าได้ โดย 5 ตัวแปรสำคัญที่ว่านี้ได้แก่
1. Artificial Intelligence ด้วยการพัฒนาการทำงานแบบ Neural Networks ที่จะทำให้ AI ฉลาดขึ้น แก้ปัญญาได้ไวขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาต่อยอดระบบ Cloud การพัฒนาอุปกรณ์อัจฉริยะ (Intelligent Devices) ที่จะทำให้คนเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือใช้เพื่อความบันเทิง
2. Public Blockchains ในแง่ของเทคโนโลยีที่จะเพิ่มความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ลดบทบาทของคนกลางที่ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น การมาของ Digital Wallets ที่กำลังได้รับความนิยม จนหลายๆประเทศเริ่มกลายเป็นสังคมไร้เงินสด ซึ่งในอนาคตระดับการเงินและสัญญาต่างๆจะถูกปรับมาใช้ใน Public Blockchains
3. Energy Storage ต้นทุนที่ลดลงในการพัฒนาแบตเตอรี่จะช่วยให้อุตสาหกรรมโตอย่างรวดเร็ว ทั้งในส่วนรถขับเคลื่อนอัตโนมัติที่จะลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางและการขนส่ง รวมไปถึงทำให้ราคายานยนต์ลดลงจนรถไฟฟ้ามาแทนที่รถที่ใช้น้ำมัน ยังไม่นับการพัฒนาในส่วนของอากาศยานไฟฟ้าที่ใช้เป็นแท็กซี่ทางเลือกให้กับคนในเมืองได้
4. Robotics ด้วย AI ที่พัฒนาขึ้น ทำให้เราสามารถพัฒนาหุ่นยนต์ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ และเปลี่ยนวิธีการผลิตสินค้า ในการพิมพ์สามมิติ (3D Printing) ก็จะเข้ามามีบทบาทไม่ใช่ในแง่ของความถูกต้องของชิ้นงานที่มากขึ้น ยังรวมไปถึงความยืนหยุ่นของ supply chain อีกด้วย รวมไปถึงที่เราสามารถผลิตจรวดที่นำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อลดต้นทุนการปล่อยดาวเทียมทำให้เกิดการเชื่อมต่อเครือข่ายอย่างไม่สะดุด
5. Multiomic Sequencing ต้นทุนในการเก็บรวบรวม, หาลำดับเบส และเข้าใจข้อมูลทางชีวภาพแบบดิจิตอลกำลังตกลงอย่างมาก ในส่วน Multiomic Technologies ที่ทำให้ทีมนักวิทยาศาสตร์สามารถเข้าใจและเข้าถึงดีเอ็นเอ, อาร์เอ็นเอ, โปรตีน และข้อมูลดิจิตอลด้านสุขภาพ การตรวจหามะเร็งสามารถทำได้ด้วยผลการตรวจเลือด และการรักษามะเร็งหรือโรคพบได้น้อยด้วย Precision Therapies (การรักษาแบบแม่นยำและจำเพาะ) ที่จะใช้เทคนิคการตัดต่อพันธุกรรมเพื่อเจาะจงกับยีนส์เป้าหมายได้

ทาง Ark Invest พูดถึงการเติบโตของ 5 กลุ่มข้างต้นนี้ในแง่ของ Total Equity Market Value จากปี 2022 จนถึงปี 2030 เป็นการโตขึ้น 15 เท่าจาก 13 ล้านล้านเหรียญ ไปที่ 200 ล้านล้านเหรียญ โดยมี Compound Annual Growth Rate (CAGR) เป็นตัวเลขดังนี้
1. Robotics CAGR = 68% ต่อปี
2. Energy Storage CAGR = 56% ต่อปี
3. Public Blockchains CAGR = 50% ต่อปี
4. AI CAGR = 36% ต่อปี
5. Multiomics Sequencing CAGR = 27% ต่อปี
ในขณะที่กลุ่ม Non-innovation platforms จะเติบโต CAGR = 2% ต่อปี จาก 84 ล้านล้านเหรียญ ไปที่ 97 ล้านล้านเหรียญ

2. Artificial Intelligence (AI)

ในปีนี้การมาของ ChatGPT ที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยถูกปล่อยออกมาให้ใช้งานในเดือนพฤศจิกายน 2022 ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าภายในเวลาเพียง 5 วันหลังถูกปล่อยออกมาให้ใช้งานกัน ก็มีผู้ใช้งานแตะ 1 ล้านคนเรียบร้อยแล้ว จาก Wright’s law คาดว่าในปี 2030 ChatGPT จะถูกใช้งานอย่างแพร่หลายเทียบเท่ากับ Google Search ที่มีการค้นหาถึง 8.5 พันล้านครั้งต่อวัน ในส่วนของ AI training ที่ค่าใช้จ่ายลดลงเป็นสัดส่วน 70% ต่อปี ค่าใช้จ่ายในการ Training ส่วนด้านภาษาของ GPT-3 level ลดลงมาจาก 4.6. ล้านเหรียญในปี 2020 เหลือเพียง 450,000 เหรียญในปี 2022 ซึ่งทาง Ark Invest คาดการณ์ต่อไปว่าค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะลดลงต่อเนื่องอัตรา 70% ต่อปี ไปจนถึงปี 2030 จะเหลือเพียง 30 เหรียญเท่านั้น นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่า AI จะเข้ามามีบทบาทในตลาดแรงงานทั่วโลกมากถึง 200 ล้านล้านเหรียญในอนาคตอีกด้วย

หากมาดูสถิติจากฝั่ง Software Engineer ที่เขียนโปรแกรมด้วยคนล้วนๆ กับมี AI เป็นผู้ช่วยพบว่า เวลาที่มี AI เป็นผู้ช่วยนั้นใช้เวลาสั้นลง 55% ในส่วนของต้นทุนของการทำภาพหรือดีไซน์ หากใช้คนทำจะมีต้นทุนที่ 150 ดอลลาร์ ใช้เวลา 5 ชั่วโมง ในขณะที่การใช้ AI จะมีต้นทุนต่ำมากเพียง 0.08 ดอลลาร์ โดยใช้เวลาน้อยมากไม่ถึง 1 นาที

Ark Invest ยังคาดการณ์ถึง Total Addressable Market (TAM) ตั้งแต่ 0.8 ล้านล้านเหรียญ ถึง 41 ล้านล้านเหรียญ

3. Digital Consumers: การเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้เวลาว่างในโลกออนไลน์

ในปี 2022 การใช้จ่ายในกลุ่มการใช้เวลาว่างในโลกออนไลน์มีมูลค่า 6.6 ล้านล้านเหรียญ ในช่วงอีก 8 ปีนับจากนี้ คาดการณ์การเติบโตที่ 17% ต่อปี ไปแตะ 22.5 ล้านล้านเหรียญหลังคิดอัตราเงินเฟ้อแล้ว โดยจะมี 4 แนวโน้มที่จะช่วยให้เกิดการเติบโตในด้านนี้คือ
1. Connected TV (CTV): ราวๆ 85% ของครัวเรือนในสหรัฐเข้าถึงอย่างน้อย 1 ชนิดของ CTV ส่วน Linear TV มีน้อยกว่า 18% ที่ครัวเรือนในสหรัฐเข้าถึง ในขณะที่ตลาดการโฆษณา CTV มีสัดส่วนเพียง 23% เทียบกับงบโฆษณาทางทีวีทั้งหมด ฉะนั้นแล้ว CTV จะเป็นจุดเปลี่ยนที่จะมีส่วนแบ่งการตลาดที่เอามาจาก Linear TV และ Digital TV อื่นๆ ในแง่ของงบโฆษณา
2. New Social Platforms: ราวๆ 40% ของ Gen Z ชอบที่จะค้นหาผ่านทาง TikTok และ Instagram มากกว่า Google Search และ Maps ซึ่ง Platform เหล่านี้จะมีส่วนเลือกเนื้อหาที่ตรงกลุ่มเป้าหมายและคุมค่าใช้จ่ายตามความต้องการ
3. Sports Betting: มีความต้องการในการพนันกีฬาอยู่มากพอสมควร เพียงแต่การผ่านกฎหมายให้ถูกต้องมากขึ้นในฝั่งทางออนไลน์หรือทางมือถือน่าจะเป็นส่วนสนับสนุนให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตมากขึ้น
4. Gaming: การร่วมกันของวีดีโอเกมส์และโซเชียลมีเดียจะสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมเกมส์มากขึ้นไปอีก

จากงานวิจัยระบุว่าผู้บริโภคจะเพิ่มเวลาที่ใช้ในโลกออนไลน์มากขึ้นจาก 39% ในปี 2022 เป็น 53% ในปี 2030 และลดเวลาทำงานเฉลี่ยทั้งโลก 0.9% ต่อปี ในอีก 5 ปีถัดไป จาก 4.7 ชั่วโมงในปี 2022 เป็น 4.4 ชั่วโมงในปี 2030 ซึ่งลดลงเป็นอัตราเร่งจาก 0.4% ตั้งแต่ปี 2023

เนื่องจากขณะนี้การโฆษณาผ่าน CTV กำลังแย่งส่วนแบ่งการตลาด โดยมีการคาดการณ์ว่า CTV ad budget จะเติบโตที่ 20% ต่อปี จาก 21 พันล้านเหรียญในปี 2022 ไปมากกว่า 50 พันล้านเหรียญในปี 2027 โดยหลังจากมีการปรับลดลงของงบที่ใช้โฆษณาในส่วน Linear TV ด้วยอัตรา 2% ต่อปีใน 5 ปีที่ผ่านมา โดยมีการคาดการณ์ว่าจะมีการลดลงของงบนี้ถึง 8% ต่อปีในอีก 5 ปีข้างหน้าจาก 70 พันล้าน เป็น 45 พันล้าน ในช่วงปี 2027 ซึ่งจะทำให้ช่วงอีก 5 ปีจากนี้ งบของ CTV ในการโฆษณาจะอยู่สูงกว่า Linear TV ทันที

แนวโน้มของคลิปวีดีโอสั้นและระบบที่เสนอแนะให้ผู้ใช้จะแทนที่ Social media แบบดั้งเดิม โดยในปี 2022 TikTok และ Facebook มีชั่วโมงในส่วน Engagement ที่พอๆ กัน ซึ่งอาจพอบ่งบอกได้ถึงจุดพีคของ Facebook ในรูปแบบ follow-and-feed ขณะที่การขยายตัวอย่างแอพ TikTok ที่เร็วกว่า platform อื่นๆ มีสัดส่วนรายได้โฆษณาที่ 10 พันล้านเหรียญหรือ 2% ของ market share ในขณะที่ภาพรวมมีการใช้จ่ายในกลุ่ม search, video และ social ads ทั้งปี 2022 อยู่ที่ 470 พันล้านเหรียญ

กรณีของ Sport Betting พบว่าใน NFL ในฤดูกาลที่ไม่มีความเข้มงวดของ Covid ในฤดูกาลแรก กิจกรรมพนันกีฬาออนไลน์ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเพิ่มสูงขึ้น 83% เทียบปีต่อปีไปแตะที่ 117 พันล้านเหรียญในปี 2022 หากดูสถิติย้อนหลังจะพบปริมาณที่เพิ่มขึ้นจาก 17% ในปี 2018 เป็น 86% ในปี 2022 จากงานวิจัยทาง Ark Invest พบว่าการพนันกีฬาออนไลน์ในสองประเทศนี้น่าจะโตขึ้นในสัดส่วน 27% ต่อปี ในอีก 5 ปีข้างหน้า จาก 100 พันล้านเหรียญไปถึงราวๆ 330 พันล้านเหรียญในปี 2027
ข้ามมาทางฝั่งประสบการณ์ของผู้ใช้ในโลกเสมือนในอุตสาหกรรมเกมส์และโซเชียลมีเดียจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ตามงานวิจัยของทาง Ark Invest พบว่าในระหว่างปี 2017-2022 มี CAGR 7% ในขณะที่ นับจากปี 2022-2027 จะมี CAGR เพิ่มขึ้นเป็น 10%

ในส่วนของการแพร่หลายในผู้บริโภคที่หันมาสนใจใช้เวลาว่างในออนไลน์และการครอบครองสินทรัพย์ดิจิตอล คาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตที่ 14% ต่อปีในอีก 8 ปีข้างหน้าจากมูลค่า 2 ล้านล้านเหรียญในปี 2022 ไปแตะที่ 5 ล้านล้านเหรียญในปี 2030

4. Digital Wallets: กระเป๋าเงินดิจิตอล
การมีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนและพ่อค้าหลายล้านคน กระเป๋าเงินดิจิตอลสามารถเปลี่ยนแปลงระบบการเงินธนาคารแบบดั้งเดิม ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายลงไปได้ราวๆ 50 พันล้านเหรียญ

กับผู้ใช้งานราวๆ 3.2 พันล้านคน กระเป๋าเงินดิจิตอลได้เข้าถึง 40% ของคนทั่วโลก ด้าน Ark Invest ให้ความเห็นว่า จำนวนผู้ใช้งานจะโตขึ้นไปอีก 8% ต่อปี และเข้าถึงได้ 65% ของคนทั่วโลกในปี 2030 โดยการเข้ามามีอิทธิพลของ Digital Wallets ต่อเนื่องก็ทำให้ระบบการเงินแบบทั้งเดิมจะลดปริมาณการใช้งานลด และคาดการณ์ว่าในแง่ของ Enterprise value ส่วน Digital wallets นี้ที่จะไปแตะ 1 ล้านล้านเหรียญในปี 2030 ได้

จากสถิติย้อนหลังในปี 2021 Digital wallets ถูกนำมาใช้ใน e-commerce ราวๆ 49% จากเพียง 18% ในปี 2016 เท่านั้น และจะเห็นว่ามีบทบาทในการเข้ามาใช้ใน e-commerce แทนบัตรเครดิต การโอนเงิน รวมไปถึงเงินสด ในขณะที่การซื้อสินค้าแบบออฟไลน์ Digital wallets ก็ถูกนำมาใช้ 29% ในปี 2021 มากเกือบเป็นสองเท่าของปี 2018 ที่มีการใช้ราวๆ 16% ในสังคมไร้เงินสดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ทำให้คนหันมาใช้ Digital wallets มากขึ้นและจะมากขึ้นไปอีกในอนาคต

การเติบโตของ Digital Wallets นั้นเป็นอัตราเร่งที่เร็วกว่าการเพิ่มของบัญชีในสถาบันการเงินธนาคาร ด้วยระดับ Network effects ที่มีค่าใช้จ่ายในการดึงผู้ใช้งานที่น้อยกว่า ให้ประสบการณ์ที่น่าประทับใจกว่าในส่วนของ Digital wallets โดยในสหรัฐอเมริกา ประมาณว่าจะมีผู้ใช้งาน digital wallets เติบโตขึ้น 7% ต่อปีในอีก 8 ปีข้างหน้า จาก 160 ล้านคน ในปี 2022 เป็นมากกว่า 260 ล้านคนในปี 2030 ขณะที่ตัวเลขผู้ใช้งานทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นที่ 8% ต่อปี และไปแตะผู้ใช้งานที่ 5,600 ล้านคน ที่สัดส่วน 65% ของประชากรทั่วโลกทั้งหมด

ปการสร้าง Closed-Loop Ecosystems ใน Digital wallets สำหรับผู้ซื้อสินค้าและพ่อค้าแม่ค้า จะเป็นในรูปแบบดึงผู้ใช้งานหลายพันล้านคนเข้าสู่ระบบ และทำให้เกิดการซื้อขายสินค้ากันในระบบโดยตัดตัวกลางสถาบันทางการเงินดั้งเดิมออกไปจากระบบนี้ ยกตัวอย่างเช่นระบบของ Alipay ที่มีผู้ใช้งาน 1,300 ล้านคน มีผู้ขายสินค้า 80 ล้านคน, Block ที่มีผู้ใช้งาน 84 ล้านคน มีผู้ขายสินค้า 7 ล้านคน (โดย Block ยังกระตุ้นผู้ใช้งานในแอพ Cash App มาใช้จ่ายออนไลน์ผ่านระบบ Cash
App Pay อีกด้วย), Kaspi มีผู้ใช้งาน 12 ล้านคน มีผู้ขายสินค้า 413,000 คน และ Paypay มีผู้ใช้งาน 51 ล้านคน มีผู้ขายสินค้า 3.9 ล้านคน

จาก Traditional Open-Loop Credit and Debit card Transaction ที่จะมีการผ่านแต่ละขั้นตอนราวๆ 9 ขั้นตอน นำมาซึ่งค่าธรรมเนียมในระบบราวๆ 2.6% เทียบกับ Close-Loop Balance-Funded Transaction ที่มีเพียง 3 ขั้นตอนระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย จบที่ค่าธรรมเนียม 2.4% หรือพูดง่ายๆว่า ขั้นตอนน้อยกว่า ค่าใช้จ่ายถูกกว่า

หากไปดูฝั่งประเทศจีน Close-loop transaction จะลดการผ่านคนกลาง และประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 50 พันล้านเหรียญสำหรับ Digital wallet platforms และคาดการณ์ว่า Enterprise value ในส่วนของ Digital wallet platforms นี้จะมีมูลค่าไปแตะราวๆ 450 พันล้านเหรียญถึง 1 ล้านล้านเหรียญในอีก 8 ปีข้างหน้า ในปี 2030

จากข้างต้นก็เป็นการกล่าวถึง 4 ใน 14 หัวข้อย่อยพอสังเขปครับ ในบทความหน้า ผมจะนำ Big Ideas 2023 ของทาง Ark Invest หัวข้อที่เหลือมาเล่าต่อจนครบทุกหัวข้อครับ

Source : ark-invest.com/big-ideas-2023/

06.03.2023