Written by: #StockVitamins x #Liberator

เมื่อตอนที่แล้ว เราคุยกันถึงเรื่อง ROE ว่าคือ การนำเอา กำไรสุทธิ หารด้วย ส่วนของผู้ถือหุ้น เพื่อดูประสิทธิภาพว่า เอาเงิน 100 บาทของผู้ถือหุ้นไปสร้างธุรกิจ แล้วทำกำไรออกมาได้กี่บาท

แต่จริงๆ มีวิธีการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งกว่านั้น คิดค้นขึ้นมาโดยคุณ Frank Donaldson Brown ผู้บริหารของบริษัทเคมีภัณฑ์ระดับโลก Dupont Corporation คิดสูตรนี้ขึ้นมาตั้งแต่ปี 1914 โดยเป็นการแตกสูตรออกมาให้ยาวขึ้น และตั้งชื่อตามบริษัทว่า Dupont Analysis Formula

สูตรที่แตกออกมานั้นสามารถตีความเป็นอัตราส่วนการเงินได้ 3 อย่าง และบอกเราถึงคุณภาพ 3 มิติ คือ

1. ประสิทธิภาพในการทำกำไร (Net Profit Margin)
2. ประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ (Asset Turnover)
3. ความสมดุลในการใช้ทุนกับการก่อหนี้ (Equity Multiplier)

.
#Net Profit Margin

ตัวแรก คือ การเอา กำไรสุทธิ หารด้วย รายได้

คือ เอากำไรบรรทัดสุดท้ายของบริษัทหลังจากหักต้นทุน ค่าใช้จ่าย ดอกเบี้ย ภาษี แล้วเอามาเทียบกับรายได้ เพื่อบอกว่าเราว่า สินค้าที่เราขายได้ 100 บาท นั้น หลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วเหลือเงินเข้ากระเป๋ากี่บาท คิดออกมาเป็น “เปอร์เซ็นต์”

NPM บอกอะไรเราได้บ้าง ?

• บอกถึงความแข็งแกร่ง อาจจะมาจากตัวสินค้าเป็นที่ต้องการสูง แบรนด์แข็งแกร่ง ตั้งราคาขายได้มาก หรือคุมต้นทุน คุมการผลิตได้ดี

• บอกเราว่า เราจะมีเงินไปต่อยอด ลงทุนทำอะไรได้หลายอย่าง หรือมีพื้นที่สำหรับความผิดพลาดได้ สมมติเรามี NPM 20-30% เราก็อาจกันเงินบางส่วนไปทำ R&D เพิ่มเติมได้ หรือถ้าเกิดต้นทุนวัตถุดิบขึ้น โดนเก็บภาษีมากขึ้น เราก็ยังมีพื้นที่หายใจอยู่รอดได้ ต่างจาก NPM 1-2% แค่ค่าไฟแพงขึ้นก็อาจจะอยู่ไม่ได้แล้ว

• ในทางกลับกัน NPM ที่สูงบอกเราถึงอันตรายในการเชื้อเชิญคู่แข่งให้เข้ามาในตลาดมากขึ้นด้วย เพราะกำไรดี ใครๆ ก็อยากกระโดดเข้ามาในสนามแข่งขัน

#Asset Turnover

ตัวที่สอง คือ การเอา ยอดขาย หารด้วย สินทรัพย์

คือ เอายอดขาย บรรทัดบนสุดที่กิจการหาได้ มาคำนวณเทียบกับ สินทรัพย์ที่บริษัทมี เช่น โรงงาน เครื่องจักร วัตถุดิบ software อุปกรณ์ต่างๆ ได้ค่าออกมาเป็นหน่วย “เท่า”

Asset Turnover บอกอะไรเราได้บ้าง

• บอกเราว่า ใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่ในบริษัทได้มีประสิทธิภาพแค่ไหนในการสร้างยอดขาย

• บอกเรา เรื่องการหมุนรอบ สินทรัพย์เท่าเดิมที่มีในโรงงานในบริษัท เอาไปสร้างยอดขายได้กี่รอบ ยิ่งหมุนรอบได้เร็ว ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นเงินได้มาก

• บอกเราว่า ไม่ใช่แค่การทำการตลาด การโฆษณา การสื่อสารที่สำคัญ แต่หัวใจหลักอีกเรื่อง คือ การพัฒนาคุณภาพสินทรัพย์หลังบ้านของเราก็สำคัญไม่แพ้กันที่จะเพิ่มยอดขายได้

• แต่ต้องย้ำว่า ไม่ควรเปรียบเทียบข้ามอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ เพราะภาคการผลิตกับภาคบริการ มีการใช้สินทรัพย์ที่ต่างกัน Asset Turnover ที่ต่างกัน อาจไม่ได้บอกว่าใครเก่งกว่ากันก็ได้

#Equity Multiplier

ตัวสุดท้าย คือ การเอา สินทรัพย์ หารด้วย ส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ ทุน

เพราะสินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน เรามองใหม่ได้ว่า Equity Multiplier = (หนี้สิน + ทุน) / ทุน

Equity Multiplier = (หนี้สิน/ทุน) + (ทุน/ทุน) หรือ = D/E Ratio + 1

แปลง่ายๆ คือ สัดส่วนในการก่อหนี้เพื่อสร้างธุรกิจว่าจะมาจาก หนี้ หรือ ทุน มากกว่ากัน เป็นสิ่งที่เราเรียกกันว่า Leverage หรือ ตัวเร่ง ในการสร้างธุรกิจ

Equity Multiplier บอกอะไรเราได้บ้าง ?

• บอกเราว่า ยิ่งก่อหนี้เยอะ D/E สูง ยิ่งทำให้ ROE สูง หรือผลตอบแทนสูงนั่นเอง แปลว่า การกู้ก็มีประโยชน์ในการสร้างธุรกิจ

• บอกเราว่า ถ้าเรามีไอเดียแต่ไม่มีทุน การที่เรากู้เงินมาบ้างก็จะช่วยให้ธุรกิจเติบโต แต่ถ้ากู้เยอะเกินไปก็จะกลายเป็นความเสี่ยงได้ ประเด็นหลัก คือ เรื่องของความสมดุล และจังหวะเวลา รู้ว่าเวลาไหนควรใช้เงินตัวเอง เวลาไหนควรยืมเงินธนาคาร เป็นการใช้เครื่องมือทางการเงินให้เกิดประโยชน์

โดยสรุป ROE ดูเผินๆ นึกว่าเป็นแค่เรื่องของ การทำกำไรจากเงินทุนที่มี
แต่ดูให้ลึก คือ ประสิทธิภาพของทั้งกำไร ทรัพย์สิน และการใช้เครื่องมือทางการเงิน ในการกำไร

02.05.2023