จีน..ตลาดรถไฟฟ้า EV ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก 🇨🇳
มาทีหลังปังกว่า..ปัจจัยที่ส่งผลให้จีนขึ้นเป็น เบอร์ 1 ของโลกในตลาดรถยนต์ EV

เเม้รถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV cars จะมีต้นกำเนิดมาจากสหรัฐ แต่รู้หรือไม่ว่า
สหรัฐครองส่วนแบ่งเพียงเเค่ราว 10% ของยอดขายรถยนต์ EV ทั่วโลก โดยในปี 2024
.
โดยคาดว่า ยอดขายรถยนต์ EV จะเพิ่มขึ้น +20% y-y แม้ว่าสหรัฐจะมีการขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่จากจีนเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐฯก็ตาม
.
เเล้วรู้หรือไม่ว่าจริงๆเเล้วนั้น เบื้องหลังของการที่จีนครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกได้นั้น
ส่วนหนึ่งมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในจีน จนนำไปสู่ปัญหาด้านมลพิษทางอากาศในเมืองต่างๆ ทำให้รัฐบาลจีน เพิ่มการสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อมาทดเเทนรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันเเก้ปัญหาการปล่อยมลพิษสูงนั่นเอง
.
#ลมใต้ปีกที่สอง - ความได้เปรียบด้านราคา
ด้วยรัฐบาลจีนมีนโยบายที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น การสนับสนุนด้านการวิจัย เเละการยกเว้นภาษี ไม่เพียงเท่านี้ผู้ผลิตรถยนต์จะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐเพื่อใช้ในการขยายการผลิตรถ EV เพื่อทำให้มีต้นทุนที่ถูก สามารถขายรถได้ในราคาที่ถูกกว่าคู่เเข่งในต่างประเทศ โดยเมื่อเทียบกับราคา Tesla Model3 ที่ประมาณ $40,000 ต่อคันในสหรัฐ หากเทียบ Tesla Model3
ที่ผลิตในจีนก็มีราคาเพียง $33,000-$35,000 เท่านั้น เเละรถ EV ที่ผลิตในจีน อย่างรุ่น Seagull
hatchback ของ BYD สามารถทำราคาได้ดีกว่ามาก เพียงเเค่ $9,698
.
โดยจากสถิติของ World Economic Forum ผู้บริโภคชาวจีนกว่า 97% ชื่นชอบรถยนต์ไฟฟ้า
เมื่อเทียบกับ 35% ของผู้บริโภคในสหรัฐ เเละ 47% ของผู้บริโภคในยุโรป
ที่พิจารณาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเป็นรถคันต่อไป สะท้อนว่าชาวจีนมีความนิยมในรถไฟฟ้ามากกว่าประเทศอื่นๆอย่างมีนัยสำคัญเลยทีเดียว
.
โดยในจีนมีสัดส่วนการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าใหม่เกือบ 60% หรือมากกว่ามากกว่า 8 ล้านคัน ในปี 2023 นั้น เพิ่มขึ้น +35% y-y เเละล่าสุดในเดือน พ.ค. 2024 ยอดขายรถยนต์ EV ในจีนเพิ่มสูงขึ้นเป็น 47% ของยอดขายรถยนต์ส่วนบุคคลทั้งหมดอีกด้วย
.
ซึ่งเหล่านี้เป็นผลจากความพยายามในการกระตุ้นการบริโภคในจีน เเละนโยบายรัฐอย่างการแลกเปลี่ยนรถยนต์เก่าแลกใหม่ในปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทหลายแห่งยังได้ปรับลดราคาลงเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน และเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในงานแสดงรถยนต์ครั้งใหญ่ที่เมืองปักกิ่ง
.
เมื่อพูดถึงรถยนต์ EV จีน เชื่อว่าชื่อเเรกๆที่ทุกคนนึกถึงคงจะเป็นผู้นำตลาดอย่าง BYD
ที่มีการส่งมอบรถยนต์มากถึง 1.6 ล้านคันใน 2 ไตรมาสเเรกของปี 2024 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย+29% y-y
โดยรถยนต์ไฮบริดโต +39.5% y-y กลับได้รับความนิยมมากกว่ารถไฟฟ้าเเบบแบตเตอรี่ที่ +17.7% y-y ไม่เพียงเเค่นี้ บริษัทยังเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ที่มีเทคโนโลยี Blade Battery
โดยเทรนด์ EV ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจากตลาด
.
ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอย่าง Xiaomi ก็มีการเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าด้วยเช่นกัน เเละได้มีการประกาศว่าบริษัทได้ส่งมอบรถยนต์ SU7 มากกว่า 10,000 คันในเดือนมิถุนายน
ทำให้ยอดการส่งมอบรวมสูงกว่า 25,000 คัน นับตั้งแต่มีการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น SU7
ในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
.
NIO หุ้นดาวเด่น เป็นบริษัทที่เเม้ว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดน้อยกว่า แต่กำลังเติบโตเเรงในจีน
โดยบริษัทเน้นรถยนต์ระดับพรีเมียมสำหรับลูกค้าระดับบน และกลาง-บน โดย ใน 2 ไตรมาสเเรกของปี 2024 มียอดส่งมอบรวม 87,426 คัน เเละล่าสุดยอดส่งมอบเดือนมิถุนายน 2024
ก็สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 21,209 คัน อีกทั้งบริษัทยังมีสถานีชาร์จ 3,776 เเห่ง
ที่ไม่ได้รองรับเพียงเเค่รถยนต์ของ NIO เเต่ยังรองรับรถไฟฟ้าจีน บริษัทอื่นๆมากกว่า 80% ด้วย
.
เเละจุดเด่นของ NIO ที่ไม่เหมือนใครคือ "สถานีสับเปลี่ยนเเบตเตอรี่ Power Swap Stations"
มากกว่า 2,400 เเห่งทั่วประเทศจีน ครอบคลุมทั้งตามทางด่วนสายหลัก เเละเมืองหลายเเห่ง
ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวก
.
โดยผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเเบตเตอรี่ที่หมดเเล้ว เป็นอันใหม่ได้ภายในระยะเวลาที่รวดเร็ว ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาจอดรถเพื่อชาร์จ เเต่เนื่องจากล่าสุดมีข้อกฏหมายว่ารถไฟฟ้าที่ผลิตในจีนจะโดนการคิดภาษีที่ 27.5% หากส่งออกไปในสหรัฐ เเละกว่า 31% หากส่งออกไปยังยุโรป ทำให้ล่าสุด NIO จึงหันมาเปิดตัวรถยนต์รุ่น Firefly ที่มีราคาถูกเพียง $14,000 เพื่อกลับมาเจาะตลาดมวลชน (Mass) ในจีนมากขึ้น
.
จากที่กล่าวมา จึงมีประเด็นที่น่าติดตามอย่างมากว่า รถ EV จากที่เคยเป็นรถ Premium กำลังจะลงมาเล่นตลาด Mass แล้ว ใครจะเป็นผู้ชนะในเกมส์นี้ อย่างไรก็ดี ในการเปรียบเทียบ นอกจากจะดูแนวโน้ม กลยุทธ์ทางธุรกิจ สิ่งแวดล้อมสนับสนุนหรือฉุดรั้งแล้ว valuation หรือ ความถูกแพง
ก็ยังมีความสำคัญต่อการตัดสินใจด้วย โดยล่าสุด BYD ซื้อขายด้วย P/E24E 34.0เท่า
ตลาดคาดแนวโน้มกำไรที่ 579.8 ล้านหยวน คิดเป็นอัตรากำไร 15.6% y-y ส่วนน้องใหม่ NIO
ซื้อขายด้วย P/E24E ที่ยังติดลบเนื่องการบริษัทยังไม่มีกำไร อย่างไรก็ดี ตลาดคาดว่า NIO
กำลังขาดทุนลดลงเรื่อยๆ โดยในปี 2024 คาดจะขาดทุนที่ 17,581 ล้านหยวน ลดลงจากปี 2023
ที่ 21,281 ล้านหยวน
.
ในบ้านเราก็ยังถือว่าใหม่มากสำหรับการผลิตรถ EV ซึ่งแม้ว่าเหล่าผู้ประกอบการจีนที่มาขายรถในไทย จะต้องตั้งโรงงาผลิตในไทยสำหรับผลิตแล้วขายในประเทศ และส่งออก เเต่เรายังต้องติดตามว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย จะแทรกตัวในสวยการผลิตของแบรนด์จีนได้หรือไม่ด้วยนะ
.
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เพื่อนๆมีความเห็นอย่างไรกับอนาคตรถยนต์ไฟฟ้า หรือ ใครใช้งานอยู่บ้างมาบอกเราข้อดี-ข้อเสียให้เพื่อนๆฟังได้น้า
.
Resource : เว็บไซต์ Weforum