LIB VISIT#8: BCH
ขอบคุณทาง บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน)
ที่เปิดบ้านต้อนรับลูกค้า และ ทีมงาน Liberator อย่างอบอุ่น ในวันพุธที่ 10 ตุลาคม 2024 ที่ผ่านมา

สรุป LIB Visit ครั้งนี้ แบบละเอียดยิบ
เพื่อนๆที่ไม่ได้เดินทางไปกับพวกเราวันนี้ อ่านสรุปนี้ก็เหมือนกับได้ไปด้วยกันเลยหละ !!

🌟  
BCH ในปีที่ผ่านมานี้ 

  • ใน 2Q24 BCH มีสัดส่วนรายได้ ชาวไทย 86% ต่างชาติ 14%
    โดยรายได้จากชาวไทยขยายตัว +4.2% y-y และต่างชาติหดตัว -9.9% y-y จากการหยุดสนับสนุนเงินค่ารักษา(GOP) ผู้ป่วยของรัฐบาลคูเวต
    แต่ว่ารายได้จากประเทศกลุ่ม
    CLMV และประเทศ Middle East อื่นๆยังเติบโตดีมาก
    ทาง
    ผู้บริหารเชื่อว่าหากประเด็นคูเวตมีความชัดเจนในเชิงบวก สัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติในอนาคตจะขยายตัวสู่เป้า 20% ของรายได้รวมได้

  • ปัจจุบัน BCH มีหนี้สินน้อย โดย D/E ratio ลดลงมาเหลือ 0.28 เท่า จาก 1.17 ในปี 2020
    ผู้บริหาร พึงพอใจกับการไม่มีหนี้สิน ตอนนี้ผลิตกระแสเงินสดได้ปีละ 2,000 ลบ. แทบจะสร้างได้ปีละ 1 โรง

    ---------------------------------------------------------------------

🌟  ประเด็นที่น่าสนใจ

  • BCH เพิ่งเปิดศูนย์รังสีรักษาเกษมราษฎร์ อารี (อยู่บนถนน แจ้งวัฒนะ ข้างๆ รพ. World Medical Center ของ BCH) ในช่วงต้นเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา โดยมีสัดส่วนถือหุ้น 51% ที่เหลือเป็นหมอชำนาญการ เพื่อรองรับผู้ป่วยที่เข้ารับการฉายแสงได้ราววันละ 50 ราย (ปัจจุบันเริ่มที่ 35 ราย/ วัน เช้า-เย็น)
    ตัวผู้บริหารเองคาดจะเต็มกำลังในอีก 1.5 ปี ซึ่งจะช่วยลด ค่า
    Referring fee ให้กับ BCH ได้ราว 60 ลบ. (ก่อนหน้า BCH ต้องส่งผู้ป่วยไปรับการรักษาที่อื่น) ซึ่งในการเดินชมกิจการพบว่า BCH ได้ เตรียมห้องไว้ติดตั้งอุปกรณ์ฉายแสงอีก 1 ชุด ซึ่งเบื้องต้นเตรียมไว้รองรับผู้ป่วยจากภายนอก นั่นหมายความว่าในอนาคตศูนย์ฯนี้ จะมีรายได้เต็มที่ 150 ลบ./ ปี ผู้บริหารมั่นใจว่าเป็น “Profit center ไม่ใช่ Cost center
  • รายได้ OPD  (สัดส่วน 37.9%) เติบโต +12.1% y-y ทั้งจากการที่สาขาประชาชื่น renovate เสร็จแล้ว รายได้ +7.3% y-y รัตนาธิเบศร์ +18.9% y-y จากศูนย์เฉพาะทาง
  • อย่างไรก็ดีรายได้ IPD (สัดส่วน 29.2%) หดตัว -12.8% y-y จากการหยุดส่งผู้ป่วยของรัฐบาลคูเวต ส่งผลให้รายได้จากคู่สัญญาลดลง -33.7% y-y เช่นกัน
    โดยประเด็นที่ ผู้บริหารชี้ให้เห็นความสำคัญของผู้ป่วยคูเวตคือ
    ticket size ที่ใหญ่ 3-4 ลบ./ คน เนื่องจากการรักษายาวนาน จะไม่เหมือนผู้ป่วย CLMV ที่รักษาสั้นๆ ดังนั้นการขาดหายของผู้ป่วยคูเวตจึงส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ ผู้บริหารต้องปรับเป้ารายได้เติบโตปีนี้เหลือ 1 digit (LIB Research ปรับประมาณการแล้วในบทวิเคราะห์ ฉบับวันที่ 2 ก.ย. 2024 :คลิกอ่านที่นี่)
  • รายได้ สปส. (สัดส่วน 33.1%) ขยายตัว y-y เล็กน้อย มีผู้ประกันตนเพิ่มขึ้น +5,000 คน หรือ +0.7% y-y แต่มีการปรับค่ารักษาโรคซับซ้อน (RW > 2) ลงเหลือ 7,600 บาท/ RW สำหรับ 2 งวด สุดท้ายของปี 2023 ทำให้ต้อง reverse รายการนี้ออกเป็นค่าใช้จ่ายใน 2Q24 ทำให้งบออกมาผิดหวัง
  • อย่างไรก็ดีมีพัฒนาการที่ดี คือ ได้เปิดตัวรถทันตกรรมเคลื่อนที่ เพื่อให้บริการผู้ป่วยประกันสังคมตามบริษัทต่างๆ อีกด้วย ผู้บริหารเชื่อว่าโมเดลนี้มีตลาดที่ใหญ่น่าสนใจมาก เพราะเป็นค่าใช้จ่ายประกันสังคมที่คนไม่ได้ใช้เยอะมาก ดังนั้นหากนำการรักษาไปให้บริการถึงที่และฟรี(ในแง่ผู้รับการรักษา) เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีในอนาคต
  • ศูนย์ศัลยกรรมพลาสติกเตรียมเปิดสาขาที่ 3 ที่ รพ. เกษมราษฎร์ บางแค ผู้บริหารเล่าให้ฟังว่า ไม่มีปัญหาเรื่องการแข่งขันด้านราคาเพราะใช้ facility รพ. ทำให้ต้นทุนถูกกว่า ดังนั้น ราคาที่นำเสนอ เป็นราคาที่แข่งขันได้ และได้เปรียบอีกด้วย ผู้บริหารตั้งเป้าว่าศูนย์ฯนี้จะมีกระจายไปในหลายๆ รพ.ของเกษมราษฎร์ในอนาคต โดยมีคุณพีท ดูแลด้านการตลาด โดยกฎหมายปัจจุบันบอกว่า การผ่าตัดที่ยาวนานกว่า 1 ชั่วโมง ห้ามทำในคลีนิก ต้องทำใน รพ. นั่นจึงทำให้คลีนิกต่างๆพยายามปรับปรุงและขอใบอนุญาตเป็น รพ. อันนี้จึงถือเป็นข้อได้เปรียบของ BCH ในการเจาะตลาดศัลยกรรม โดยมองว่า 1 ศูนย์จะทำเงินได้ปีละ 150-200 ลบ./ ปี
  • เกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชันแนล อรัญประเทศ และเวียงจันทน์ มี EBITDA เป็นบวกแล้ว คาดมีกำไรสุทธิใน 4Q24 ส่วนปราจีนบุรียังติดลบ คาดมีกำไรกลางปีหน้า โดยสาขาอรัญประเทศ เพิ่มเตียง 51 เป็น 110
  • รพ. เกษมราษฎร์ สุวรรณภูมิ อยู่ในขั้นตอนการขอ EIA งบ 1650 ลบ. ส่วนสาขาระยองซื้อที่ดินมาเรียบร้อยแล้ว และล่าสุดประกาศเตรียมสร้างสาขาพัทยากลาง
    ทางผู้บริหารอธิบายให้ฟังว่า BCH เน้นการสร้างโรงพยาบาล(Green field) มากกว่าการเข้าซื้อ เนื่องจากสามารถวางแผนการขยายได้ในอนาคต และสามารถออกแบบตามความต้องการได้ การไปซื้อแล้ว renovate อาจดีในระยะสั้น แต่ระยะยาวจะมีปัญหา
  • ขณะเดียวกัน BCH จะมีการ Renovate รพ. เก่าอย่างต่อเนื่องให้ทันสมัย เพื่อให้เกิดการใช้ซ้ำของผู้ป่วย โดย รพ. การูญเวช ปทุมธานี เตรียมเปลี่ยนเป็นแบรนด์เกษมราษฎร์ คาดแล้วเสร็จใน 1Q25, ส่วนสาขาแม่สายมีการปรับปรุงแผนก OPD และ ER มูลค่า 100 ลบ. และสาขาบางแคซึ่งเป็น รพ.สาขาแรกของ BCH เหลือการปรับปรุงอีกเล็กน้อย เหล่านี้ ผู้บริหารเรียกว่าการ reverse S-curve
  • รัฐบาลคูเวต จะคัดโรงพยบาลไทยจาก 21 รพ. เหลือ 3 รพ. ที่จะได้รับการสนับสนุนค่าพยบาลให้ผู้ป่วยชาวคูเวต โดย ผู้บริหารมั่นใจว่า BCH จะเป็นหนึ่งในสาม เพราะ
    (1.) คูเวตมีแนวโน้มจะสนับสนุนในบางโรคแบบเฉพาะที่ไม่ซ้ำซ้อนกับสถานพยาบาลในคูเวต จะไม่เน้น รพ.ที่รักษาทั่วไป โดยเต็ง 1 เก่งด้านหัวใจ เต็ง 2 เก่งด้าน มะเร็ง เต็ง 3
    BCH เก่งด้านเบาหวาน
    (2.) ลูกค้าคูเวตมี
    track record ผู้ป่วยศูนย์เบาหวาน จำนวนมากกับ BCH อย่างไรก็ดีล่าสุดยังไม่ประกาศรายชื่อ 3 รพ. นั้น แต่ ผู้บริหารเผยว่าได้รับสัญญาณที่ดี

🌟 มุมมองต่อประเด็นประกันสังคม

  • รายได้ประกันสังคมแบ่งเป็น 7 ส่วน มี 3 ส่วนสำคัญ คือ
    (1.) ค่าหัว 46.9
    % ซึ่ง รพ.จะมีรายได้ตามจำนวนผู้ประกันตนที่มาลงทะเบียนใช้บริการ
    (2.) รายได้ค่ารักษา 26 โรคเรื้อรัง 13.2
    % และ
    (3.) ค่ารักษาโรคซับซ้อน (
    RW >= 2) 20.4% ใน 2Q23 ซึ่งรายการนี้มีปัญหามาก โดยในงวดปี 2023 ทาง สปส. ปรับลดค่า RW ลงจาก 12,000 เหลือ 7,200 บาท/ RW ใน 2 งวดสุดท้ายที่ตั้งเบิกในปี 2024 ซึ่งทำให้ รพ.ประกันสังคมกว่า 90 แห่งได้รับผลกระทบ
  • ล่าสุดมี รพ. ถอนตัวไปแล้ว 3 แห่ง และอีก 70 แห่งก็แสดงความจำนงเช่นกัน
    ซึ่งผู้บริหารมองว่า หาก รพ.เอกชน ถอนตัวหมดจะทำให้ระบบประกันสังคมมีปัญหาทั้งระบบ โรงพยาบาลรัฐกว่า 100 แห่ง เชื่อว่าไม่สามารถรองรับได้ โดยโรงพยาบาลที่มีเตียงน้อยกว่า 50 เตียง มองว่าอยู่ยากเพราะไม่
    economies of scale จึงเป็นเหตุให้มีการถอนตัวออกไป อย่างไรก็ดี ภาครัฐได้เข้ามาดูแลประเด็นนี้แล้ว และได้ตั้งคณะเจรจรา เริ่มประชุม 17 ต.ค. นี้ โดยให้กรอบเสร็จสิ้นภายใน 90 วัน แต่ ผู้บริหารมองว่าภายใน 1 เดือน ก็น่าจะจบเพื่อเริ่มต้นในปี 2025 เพราะตอนนี้ฝั่ง รพ.เอกชน ข้อมูลพร้อมมาก ตอบได้ทุกเรื่อง โดยมองว่าการไม่ยอมปรับค่า RW มา 5 ปี (แถมมาลดอีก) ในขณะที่ต้นทุนทุกอย่างปรับขึ้นหมด และ ผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
  • ผู้บริหาร อธิบายโครงสร้าง เงินประกันสังคมที่ผู้ประกันตนจ่ายไป 5% นั้นจะแบ่งเป็น 3% เงินบำนาญ, 0.5% กันว่างงาน, 1.5% ค่ารักษาพยาบาล ซึ่งในนั้น มีการแบ่งอีก ทุพลภาพ 0.13%, ตาย 0.05%, มีบุตร 0.23% และ รักษา 1.06% ซึ่งจะเห็นว่าสามารถโยกบางส่วน เช่น มีบุตร มาช่วยด้านรักษาได้ ผู้บริหารมองว่าเงินมีพอ แต่ต้องจัดการให้ทันสมัย ใช้หลักคณิตศาสตร์ประกันภัยมาช่วยคำนวนเพื่อให้ตัดสินใจได้แม่นยำ


🌟 แนวโน้มในอนาคต

  • แนวโน้ม 3Q24 แนวโน้มผลการดำเนินงานไม่น่ากังวล เป็น high season อยู่แล้ว
    และคาดจะมีบันทึกรายได้จาก
    26 โรคเรื้อรัง ที่ปกติลง 4Q24 (แต่ปีนี้จะบันทึกไตรมาส 3 ราว 60 ลบ.)
    ขณะที่มีการปรับราคาค่าบริการไปแล้ว 3-4% แต่ก็ยังคงนโยบายราคาไม่แพง เป็นเบอร์ 3 ที่ถูกกว่า รพ. เอกชนอื่นๆ
  • ส่วน 4Q24 จะบันทึกรายได้อิงกับ RW 7,200 บาท (เพื่อความอนุรักษ์นิยคม และราคาให้บิลล่าสุดที่ได้รับ) แต่หากการเจรจาเป็นผล ก็อาจมีการ reverse เพิ่มเติมเป็น bonus ก็เป็นไปได้
  • แผนธุรกิจ ยังคงเน้นที่ตลาด mass และเน้นการขยาย network ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น, ปรับปรุงบริการให้ผู้ป่วยพึงพอใจกับคุณภาพ เพื่อขยาย market share, เน้นจับ Trend ที่สำคัญในอนาคต ไปทุกตลาด, มองการขยายไปต่างประเทศ, เน้นสร้างโรงพยาบาลในพื้นที่ที่มีศักยภาพ มีผู้ประกันตนเยอะ สมุทรปราการ สุวรรณภูมิ ระยอง ปากน้ำ เป็นต้น, การบริการด้าน Wellness และ มองว่าธุรกิจ รพ. สมัยใหม่ต้อง proactive เช่น การบริการด้าน Screening นั้นสำคัญ เพราะจะช่วยป้องกัน และ ช่วยประหยัดค่ารักษาของระบบได้ในระยะยาว
  • AI กับการแพทย์ ผู้บริหารมองว่า AI เป็นเพียงผู้ช่วยให้แพทย์ทำงานได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น ประหยัดเวลา แต่สุดท้ายการวินิจฉัยจากแพทย์วิชาชีพสำคัญที่สุด ปัจจุบันยังไม่ค่อยได้รับการยอมรับสักเท่าไหร่
  • ผู้บริหารอธิบายว่า ธุรกิจโรงพยาบาล เป็นธุรกิจแห่งศรัทธา การดำเนินการทุกอย่างต้องโปร่งใส เป็นธรรม โฟกัสที่คุณภาพก่อนเป็นสำคัญ เป็นธุรกิจระยะยาวได้เรื่อยแบบน้ำซึมบ่อทราย BCH จ่ายปันผลอย่างต่อเนื่อง โดยใน 2H จะมากกว่า 1H ซึ่งการที่ไม่มีหนี้แล้ว ก็เป็นไปได้ที่อาจจะเริ่มพิจารณาเพิ่ม dividend payout จากปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 40% (จ่ายจริง 55%)
    มุมมองนักวิเคราะห์ Liberator
    BCH ได้ผ่านจุดต่ำสุดจากการรับรู้ข่าวร้ายไปแล้ว
    คาดว่าประเด็น รัฐบาลคูเวต และผลการเจรจากับ สปส.หากออกมาในเชิงบวก และเกิดการลงนามสัญญาได้ทันสำหรับงวดปี 2025 จะทำให้รายได้จากโรคกลุ่มซับซ้อน (RW > 2) จะกลับมาเป็นปกติ (สูงกว่า 7,200 บาท/ RW) ทำให้ประมาณการปี 2025 ของตลาดมีความมั่นใจมากขึ้น และทำให้หุ้นกลับสู่เส้นทางการเติบโต 2 หลักอย่างมั่นคงต่อไป นักวิเคราะห์คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2024 ที่ 23.90 บาท/ หุ้น

อยากจะมีโอกาสได้มาเยี่ยมชมบริษัท และ พบปะผู้บริหาร รวมถึงเพื่อนๆนักลงทุนแบบนี้
ทำได้ง่ายๆ แค่มีบัญชีกับ Liberator ก็มีโอกาสสมัครมาร่วมกิจกรรม LIB Visit นี้ได้แล้วนะคะ
[ เปิดพอร์ตใหม่ เทรดฟรี ไม่มีค่าคอม 1 เดือน คลิกที่นี่ ได้เลย ]