ที่ Liberator ลูกค้าสามารถลงทุนได้ในหลากหลายสินทรัพย์ ครบ จบในแอปฯเดียว ไม่ว่าจะเป็น หุ้นไทย, ตราสารอนุพันธ์, หุ้นต่างประเทศ รวมถึงกองทุนรวม และเรากำลังจะมีสินทรัพย์ให้ลงทุนเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ในอนาคต
สำหรับผู้ที่เริ่มต้นลงทุน หลังจากที่ศึกษาหาความรู้จนพร้อมที่จะลองลงทุนแล้วนั้น สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ การเปิดบัญชีหลักทรัพย์ (เปิดพอร์ตโฟลิโอ) เพื่อที่จะเริ่มต้นลงทุน

ในบทความนี้ เราจึงจะมาแนะนำให้เพื่อนๆเข้าใจกันนะคะ ว่าบัญชีแต่ละประเภทนั้น แตกต่างกันอย่างไรบ้าง
แล้วเราควรจะเปิดบัญชีแบบไหนดีล่ะ เพื่อให้เหมาะสมกับเรามากที่สุด ? 

สำหรับลงทุนในตลาดหุ้นไทย

บัญชี Cash Balance

เป็นบัญชีที่ใช้สำหรับลงทุนในสินทรัพย์ประเภท หุ้น (Stock), วอร์แรนท์ (Warrant) และ ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrants) โดยลูกค้าจะต้องนำเงินสดไปฝากไว้กับทางโบรกเกอร์ก่อนที่จะเริ่มทำการซื้อขายหุ้น และเราจะสามารถทำการซื้อขายได้เท่ากับจำนวนเงินที่เราฝากเข้าไปไว้ในบัญชีนี้เท่านั้น ในปัจจุบันนี้ ลูกค้าทุกท่านที่ต้องการจะลงทุนกับทาง Liberator จำเป็นจะต้องเปิดบัญชีประเภทนี้ก่อนเป็นอันดับแรก

เหมาะกับใคร ? 
บัญชีประเภทนี้เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ทุกท่าน เพราะว่าสามารถช่วยในการบริหารความเสี่ยง ในการซื้อขายให้ไม่เกินเงินสดที่เรามีอยู่

 

บัญชี Cash Account

ใช้ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียวกันกับ Cash Balance แต่ในบัญชีประเภทนี้ ลูกค้าจะสามารถวางเงิน หรือ หลักทรัพย์ กับทางโบรกเกอร์ไว้ก่อนเพียง 20% ของวงเงินที่ได้รับการอนุมัติ เพื่อที่จะทำการซื้อขายหลักทรัพย์ได้ตามวงเงิน
โดยหลังจากที่ทำการซื้อหลักทรัพย์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะต้องทำการชำระราคาหลักทรัพย์ภายในระยะเวลา 2 วันทำการถัดไป (หรือที่เรียกกันว่า T+2)

ตัวอย่าง
หากลูกค้าต้องการซื้อหลักทรัพย์มูลค่า 10,000 บาท ลูกค้าจำเป็นจะต้องฝากเงินเข้าไปในบัญชี Cash Account นี้
ในจำนวน 20% หรือ 2,000 บาท เป็นอย่างน้อย และชำระเพิ่มเติมจนครบมูลค่า ภายใน 2 วันถัดไป 

เหมาะกับใคร ? 

บัญชีนี้ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่อง หรือมีลักษณะการเทรดแบบเก็งกำไรในวัน (Net Settlement) 
ทั้งนี้ มีข้อควรระวังว่า หากไม่สามารถชำระคืนได้ทันตามกำหนด จะมีค่าปรับ ดอกเบี้ย และอาจนำไปสู่การลดวงเงินบัญชีอื่นๆ และการปิดบัญชี Cash Account ได้ 

 

บัญชี Credit Balance

อีกชื่อหนึ่งคือ บัญชีมาร์จิ้นกู้ยืมเงินเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ เป็นประเภทบัญชีที่ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อหลักทรัพย์ เกินกว่าวงเงินที่มีในบัญชีได้ ลูกค้าที่จะใช้บัญชีนี้จะต้องวางเงินหรือหลักทรัพย์ค้ำประกันตามที่ Liberator กำหนด
ความสะดวกของบัญชีประเภทนี้ คือ จากเดิมที่ต้องเตรียมเงินสดไว้ในบัญชีธนาคารเพื่อชำระค่าหุ้น ณ วันที่ T+2 กลายเป็นว่าไม่จำเป็นต้องเตรียมเงินสดเต็มจำนวน เพราะหากซื้อหลักทรัพย์เกินวงเงินที่มี โบรกเกอร์จะให้กู้ยืมเงินในส่วนที่ขาดได้
ซึ่งทางโบรกเกอร์จะมีการคิดดอกเบี้ยเงินที่ลูกค้ายืมไปซื้อหุ้นด้วย

ข้อควรระวังของการใช้บัญชี Credit Balance คือ ระหว่างที่เปิดสถานะอยู่จะมีดอกเบี้ยกู้ยืมตลอดระยะเวลาที่ถือสถานะอยู่ และเมื่อสถานะนั้นขาดทุนเกินระดับที่โบรกเกอร์กำหนดไว้ จะสามารถบังคับปิดสถานะได้ ทำให้การลงทุนมีความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้น 

ดังนั้น หากนักลงทุนต้องการใช้บัญชี Credit Balance ซึ่งเพิ่มอำนาจการซื้อขายหลักทรัพย์ได้เป็นเวลานานๆ จำเป็นต้องศึกษาความเสี่ยงให้รอบด้านก่อนตัดสินใจเปิดสถานะ

เหมาะกับใคร ? 

เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการจะเพิ่มอำนาจการซื้อขายหลักทรัพย์ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้น โดยมีความรู้และความสามารถในการควบคุมความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี

 

บัญชี Derivatives

เป็นบัญชีที่ใช้ในการซื้อขายอนุพันธ์ ในตลาด TFEX เพื่อทำการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ประเภท สัญญาฟิวเจอร์ส (Futures) หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และ สัญญาออปชัน (Options)
ซึ่งสามารถใช้ในการบริหารความเสี่ยง รวมถึงสามารถทำกำไรได้ทั้งในช่วงขาขึ้น และขาลง โดยการลงทุนใน Futures นั้น ไม่จำเป็นต้องวางเงินเต็มจำนวน แต่จะวางหลักประกัน (Margin) ของมูลค่าสินทรัพย์อ้างอิงเท่านั้น จึงทำให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้นได้ แต่ก็ต้องระวัง เพราะนั้นหมายถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

อย่าลืมศึกษาหาความรู้ และข้อมูลให้ครบถ้วน ก่อนที่จะเริ่มเทรดหรือลงทุนนะคะ 

 

สำหรับลงทุนหุ้นต่างประเทศ

บัญชี Offshores - US 

เป็นบัญชีสำหรับซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศอเมริกา จาก 3 ตลาดหลัก ได้แก่ NYSE, NASDAQ และ AMEX ประกอบไปด้วย หุ้น และกองทุน ETF รวมแล้วกว่า 8,000 รายการ

ในบัญชีนี้ ลูกค้าจำเป็นจะต้องมีการแลกเปลี่ยนเงินบาท เป็นสกุลเงิน US Dollar ก่อนที่จะทำการลงทุน แม้จะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ ลูกค้า Liberator จะมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นนั้นๆ และได้รับความคุ้มครองจาก SIPC รวมถึงได้รับสิทธิ์ประโยชน์ของผู้ถือหุ้นครบทุกประการ

 

สำหรับลงทุนในกองทุนรวม

บัญชีกองทุนรวม 

เป็นบัญชีสำหรับการซื้อ - ขาย กองทุนรวมต่างๆ บนแอปฯ Liberator
กองทุนรวม คือ การนำเงินของนักลงทุนมาลงทุนตามสินทรัพย์ต่างๆ ตามนโยบายของกองทุนนั้นๆ โดยมีมืออาชีพที่เรียกว่า ผู้จัดการกองทุน มาคอยบริหารจัดการเงินลงทุนนี้ โดยกองทุนรวมนั้นมีหลายประเภท เช่น กองทุนที่ลงทุนในหุ้น , หุ้นต่างประเทศ , ทองคำ และสินทรัพย์อื่นๆ

ดังนั้นแล้ว นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในกองทุนให้เหมาะสมกับกับเป้าหมายของตัวเอง รวมถึงความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ อีกทั้งยังสามารถเริ่มต้นได้ด้วยจำนวนเงินที่ไม่มาก และมีมืออาชีพมาคอยบริหารจัดการเงินลงทุนนี้ให้

 

สุดท้ายนี้แล้ว หวังว่าบทความนี้จะทำให้เพื่อนๆเข้าใจความแตกต่างของแต่ละประเภทบัญชีมากขึ้น และถ้าพร้อมที่จะเริ่มลงทุนแล้ว อย่ารีรอที่จะมาเปิดบัญชีกับทาง Liberator เรานะคะ เพราะการมาลงทุนกับเรา นอกจากจะประหยัดต้นทุนในการลงทุนได้เยอะมากๆ จากแพ็กเกจ LIBFAM หรือค่าคอมฯที่ถูกมากของ LIBBASIC แล้ว ลูกค้ายังจะได้รับความรู้ในการลงทุนมากมาย จากแพลตฟอร์ม LIB Academy ของเรา นี่ยังไม่รวมสิทธิ์ประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย

เห็นแบบนี้แล้ว มาเปิดบัญชีกับเราเลยนะคะ ทำได้เองง่ายๆ ใช้เวลาไม่นานเลยค่ะ