Limit Up Limit Down ลดความผันผวน เพิ่มเวลาตั้งสติให้นักลงทุนหุ้นอเมริกา
ปลดล็อคความกังวลใจให้นักลงทุนหุ้นอเมริกา ตลาดหุ้นอเมริกาที่เต็มไปด้วยโอกาส (และมีความเสี่ยง) ด้วยกลไก LULD (Limit up-Limit Down) ช่วยทำให้ราคาไม่ขึ้นหรือลงรุนแรงเกิน 5-20% ในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้นักลงทุนมีเวลาปรับแผน ปรับจิตใจรับกับความผันผวนได้ดีขึ้น
ในตลาดหุ้นไทยจะมีมาตรการแบบขึ้นเครื่องหมายเตือนนักลงทุน เช่น
- H (Halt) หยุดการซื้อขายชั่วคราวเวลามีข่าวที่มีผลกระทบรุนแรง หรือมีแรงซื้อขายที่น่าสงสัยของนักลงทุนบางกลุ่ม
- มาตรการ Ceiling และ Floor ที่จำกัดไม่ให้หุ้นไทยแกว่งเกินกว่ากรอบ 30% ซึ่งเมื่อมันไปถึงก็มักจะแก้ไขสถานการณ์ลำบากแล้ว
เท่าที่แอดมินศึกษาดู LULD อาจดีกว่ากลไก Ceiling และ Floor ของไทยเสียอีก
เปิดบัญชีเพื่อเริ่มลงทุนหุ้นสหรัฐอเมริกาโดยตรง แสวงหาโอกาสใหม่ๆ ได้ที่นี่
Limit Up - Limit Down (LULD) ต่างจาก [Ceiling กับ Floor] ในไทยอย่างไร
กลไก Limit Up - Limit Down (LULD) เปรียบเสมือนลูกผสมระหว่าง 2 เครื่องมือในไทย คือ
- การขึ้นเครื่องหมาย H (Halt) หยุดซื้อขายชั่วคราว เวลามีข่าวสำคัญที่บริษัทยังไม่ได้แจ้งตลาด หรือมีแรงซื้อขายน่าสงสัย
- การกำหนดเพดานราคา Ceiling Floor (ไม่เกิน +/- 30%) กำหนดกรอบราคาในวัน ลดความร้อนแรงของนักลงทุน
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง LULD ของอเมริกากับกลไกในตลาดไทย คือ
1. เมื่อราคาตลาดเกินกรอบ Limit จะทำให้หุ้นอยู่ใน Limit state ทำให้ซื้อขายนอกกรอบราคาไม่ได้
2. Limit State แต่ละครั้งจะใช้เวลา 15 วินาที ถ้ายังมีคำสั่งซื้อขายนอกกรอบราคาอยู่ ตลาดจะสั่งพักการซื้อขาย 5 นาที
3. เมื่อราคาหลุดจาก Limit State แล้ว ระบบจะคิดราคาเฉลี่ย 5 นาทีย้อนหลังใหม่ คำนวณกรอบใหม่ขึ้นมา
4. ถ้าราคายังคงมีความผันผวนไม่หยุด จะเข้าสู่ขั้นตอนที่ 1-3 ใหม่อีกครั้ง
สังเกตว่าตลาดหุ้นอเมริกาแม้จะมีความเสี่ยงมากกว่า แต่การมีจังหวะพักการซื้อขายให้นักลงทุนเปลี่ยนคำสั่งซื้อขายตัวเองได้ นาน 5 นาที ก่อนที่จะกลับมาซื้อขายและคำนวณกรอบราคาใหม่ ทำให้นักลงทุนมีเวลาทบทวนกลยุทธ์และข้อมูลเพิ่มขึ้น และแก้ไขความผิดพลาดได้ง่ายกว่า
ขั้นตอนการทำงานของ LULD
Limit up - Limit Down (LULD) ในตลาดอเมริกา จะมีขั้นตอนการทำงาน 4 ขั้นด้วยกัน
1. คำนวณราคาอ้างอิง (Reference Price)
เพื่อป้องกันปัญหาราคาผันผวนเกินไป จะเริ่มต้นจากการหา ราคาอ้างอิง ก่อน โดยจะใช้ราคาปิดของเมื่อวานนี้ หรือว่าราคาเฉลี่ย 5 นาทีย้อนหลังมาคำนวณ ตลาดจะคอยอัพเดตราคาอ้างอิงและกรอบราคาให้อัตโนมัติ
2. คำนวณกรอบราคา (Price Band)
กรอบราคา ที่ตลาดอนุญาตให้ราคาวิ่งขึ้น-ลงได้จะถูกกำหนดต่างออกไปตามประเภทของหุ้น
- ถ้าเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง อยู่ใน S&P500, Russell 1000 จะเรียกว่า หลักทรัพย์ Tier 1
- ถ้าเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องไม่สูงมาก อยู่นอกกลุ่ม Tier 1 จะถูกเรียกว่าเป็น หลักทรัพย์ Tier 2
โดยปกติแล้ว กลุ่ม Tier 2 มักมีความเสี่ยงและความผันผวนได้สูงกว่า Tier 1 ดังนั้น โดยปกติแล้ว % กรอบราคาในกลุ่ม Tier 2 จะสูงกว่า Tier 1
2.1. ถ้าเป็นหุ้นอเมริกา Tier 1 (อยู่ในดัชนีใหญ่) มีกรอบกว้าง 5% จากราคาอ้างอิง
2.2. ถ้าเป็นหุ้นอเมริกา Tier 2 (ไม่อยู่ในดัชนีใหญ่) มีกรอบกว้าง 10% จากราคาอ้างอิง
2.3. ถ้าเป็นหุ้นอเมริกาที่ราคาระหว่าง $0.75 - $3.00 จะมีกรอบกว้าง 20% จากราคาอ้างอิง
2.4. ถ้าเป็นหุ้นอเมริกา Penny Stock ราคาน้อยกว่า $0.75 จะมีกรอบกว้างได้ถึง 75% หรือ $0.15 (เลือกกรอบที่แคบกว่า)
แม้ว่าจะมีเลข %กรอบราคา เป็นเลขเดียวกัน แต่เพราะว่าตลาดจะปรับราคาอ้างอิง เป็นราคาเฉลี่ยที่มีการซื้อขายในช่วง 5 นาทีล่าสุดโดยอัตโนมัติ ทำให้กรอบของ Limit Up Limit Down จะเปลี่ยนไปตลอดเช่นกัน
ดังนั้น ถ้าเราเห็นว่าอยู่ๆ ก็ซื้อขายไม่ได้ นั่นอาจแปลว่าราคากำลังเข้า Limit State อยู่นั่นเองครับ เราสามารถเช็คราคา Limit Up Limit Down ได้ที่หน้า Qoute บนแอป Liberator เลย
3. ถ้าราคาทะลุกรอบราคา Limit ไปแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น?
หลังจากที่ราคาทะลุกรอบ Limit ไปแล้ว จะเข้า Limit State
- นักลงทุนจะซื้อหลักทรัพย์ ราคาสูงกว่ากรอบบน (Limit Up) ไม่ได้
- นักลงทุนจะขายหลักทรัพย์ ราคาต่ำกว่ากรอบล่าง (Limit Down ไม่ได้)
LULD ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนซื้อขายหุ้นในกรอบราคาได้ ทำให้มีโอกาสแก้ไขสถานการณ์ในจังหวะที่มีความผันผวนสูงได้ ต่างกับหุ้นไทยที่กว่าจะถึง Ceiling หรือ Floor ก็ตัดสินใจแก้ไขสถานการณ์ลำบากแล้ว
เพราะ LULD ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนซื้อขายหุ้นในกรอบราคาได้ ดังนั้น เมื่อราคาขึ้นสูงกว่า Limit Up ไม่ได้ อาจทำให้เกิดแรงขายกลับลงมาในกรอบได้ ในทำนองเดียวกัน ถ้าราคาลงไปถึง Limit Down แล้วนักลงทุนขายราคาต่ำกว่า Limit ไม่ได้ อาจเกิดแรงซื้อกลับเข้ามาในกรอบได้เช่นกัน
การติด Limit State ลักษณะนี้ทำให้นักลงทุนรายใหญ่ไม่สามารถกวาดซื้อ / เทขาย จนทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงมากๆ จนราคาตลาดห่างจากต้นทุนของตนเองในเวลาสั้นๆ ได้ มีเวลาให้นักลงทุนรายย่อยปรับสภาพจิตใจ แก้ไขข้อผิดพลาดทัน
4. ถ้าราคาทะลุกรอบราคา แต่แรงซื้อ/ขายยังคงรุนแรงไปทิศทางเดิม
อย่างไรก็ตาม ถ้าแรงซื้อ/ขายยังคงถาโถมต่อเนื่องในทิศทางเดิมเกินเวลา 15 วินาทีไปแล้ว ทางตลาดหลักทรัพย์ (สหรัฐอเมริกามีหลายตลาดนะครับ) จะประกาศปิดการซื้อขายชั่วคราว 5 นาที เพื่อให้นักลงทุนประเมินข้อมูลสถานการณ์ใหม่
หลังจากผ่าน 5 นาทีไปแล้ว ตลาดจะคำนวณกรอบ LULD ใหม่จากราคาอ้างอิงชุดใหม่อีกครั้ง แล้วเปิดให้ซื้อขายใหม่อีกครั้ง จากนั้นถ้าราคายังคงไปในทิศทางเดิมอีกก็จะไปติด LULD ชุดใหม่ แล้วมี Limit State 15 วินาที ก่อนจะ Pause อีกครั้ง
ล่าสุดหุ้น $GME ที่มีกระแสถูก Pause ไปมากถึง 8 ครั้ง หลังจากนักลงทุนรายใหญ่ออกมา Livestream นี่อาจเป็นมาตรการที่ช่วยกำกับให้นักลงทุนมีเวลาตั้งสติและแก้ไขข้อผิดพลาดในวันได้ง่ายมากขึ้น
ตัวอย่างเพื่อทำความเข้าใจ LULD
เราพูดกันแค่คอนเสปต์มันจะเข้าใจยาก ส่วนนี้เราจะลองยกตัวอย่างให้ดูในรูปภาพที่ 3 ได้เลย
สรุปสั้นๆ สำหรับนักลงทุนที่มีเวลาไม่มาก
- ตลาดหุ้นอเมริกามีระบบ Limit Up - Limit Down (LULD) ซึ่งความกว้างของกรอบขึ้นอยู่กับลักษณะและราคาหุ้น
- ถ้ามีคำสั่งซื้อขาย ทำให้ Bid Offer เกินลิมิต จะเข้าภาวะ Limit State ทำให้ซื้อขายราคานอกกรอบไม่ได้เป็นเวลา 15 วินาที
- ถ้าราคากลับมาซื้อขายในกรอบ ตลาดจะคิดราคาอ้างอิงใหม่ คำนวณกรอบใหม่
- ถ้าราคายังคงย่ำและทะลุ Limit Up - Limit Down (LULD) อยู่ ตลาดจะสั่งพักการซื้อขาย 5 นาที
เมื่อรวมเข้ากับระบบที่ให้เราซื้อขายเศษหุ้นได้, ช่วยลดภาษีเงินปันผลให้, มี Conditional order และโอกาสการลงทุนในหุ้นนวัตกรรมชั้นนำระดับโลก การกระจายเงินบางส่วนไปลงทุนหุ้นอเมริกาอาจไม่ยากเท่าที่คิด
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- LULD FAQ โดยเว็บไซต์ของตลาด NASDAQ; LULD_FAQ.pdf (nasdaqtrader.com)
- บทความอธิบายกลไก LULD โดย Investopedia; https://www.investopedia.com/terms/l/limitdown.asp