ค่าBeta คืออะไร ?  คีย์ลับที่ช่วยจัดการความเสี่ยงในพอร์ตหุ้นของคุณ

ค่าBeta คืออะไร? เข้าใจง่ายใน 30 วินาที

ค่าเบต้า (Beta) คือตัวเลขที่บอกว่าหุ้นจะขึ้น-ลงแรงแค่ไหนเมื่อเทียบกับตลาด เป็นเหมือน "เครื่องวัดความไวต่อตลาด" ของหุ้นแต่ละตัว

ภาพง่ายๆ 

+ ถ้าตลาดขึ้น 10%, หุ้นเบต้า 1.5 จะขึ้นประมาณ 15%

+ ถ้าตลาดลง 10%, หุ้นเบต้า 1.5 ก็จะลงประมาณ 15% เช่นกัน

นี่แหละเป็นดเหตุผลว่าทำไมบางหุ้นถึงผันผวนมากกว่าตลาดโดยรวม? หรือทำไมพอร์ตการลงทุนของคุณถึงดิ่งลงอย่างรุนแรงในช่วงตลาดขาลง? คำตอบอยู่ที่ "ค่าเบต้า" นี่เอง

 

ค่าBeta คืออะไร กันแน่?

ค่าเบต้า คือ ตัวชี้วัดที่บอกถึงความผันผวนหรือความเสี่ยงของหลักทรัพย์เมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม โดยทั่วไปแล้ว:

+ ค่าเบต้า = 1.0 หมายถึง หลักทรัพย์นั้นมีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับตลาดและมีความผันผวนเท่ากับตลาด  (ตลาดขึ้น 10%, หุ้นขึ้น 10%)

+ ค่าเบต้า > 1.0 หมายถึง หลักทรัพย์มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับตลาดแต่มีความผันผวนมากกว่าตลาด  (เบต้า 1.5: ตลาดขึ้น 10%, หุ้นขึ้น 15%)

+ ค่าเบต้า < 1.0 หมายถึง หลักทรัพย์มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับตลาดแต่มีความผันผวนน้อยกว่าตลาด  (เบต้า 0.5: ตลาดขึ้น 10%, หุ้นขึ้น 5%)

+ ค่าเบต้าติดลบ หมายถึง หลักทรัพย์มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับตลาด  (เบต้า -0.5: ตลาดขึ้น 10%, หุ้นลง 5%)

 

ปัญหาของนักลงทุนมือใหม่: เมื่อไม่เข้าใจค่าBeta 

+ พอร์ตเสี่ยงเกินตัว: สร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความเสี่ยงมากเกินความจำเป็นสำหรับเป้าหมายของคุณ เหมือนเดินข้ามถนนตอนไฟแดงทั้งที่ไม่รีบ

+ ตัดสินใจผิดพลาด: ตื่นตระหนกและขายหุ้นในจังหวะที่แย่ เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมหุ้นของคุณถึงลงแรงกว่าข่าว

+ กระจายความเสี่ยงไม่ถูกวิธี: เลือกหุ้นหลายตัวที่ดูแตกต่างกัน แต่กลับมีค่าเบต้าสูงเหมือนกันหมด เท่ากับกระจายความเสี่ยงแค่เปลือกนอก  

 

ค่าBeta บอกอะไรเราได้บ้าง?

+ ระดับความเสี่ยงเชิงเปรียบเทียบ: หุ้นเบต้าสูงมีความผันผวนมากกว่าตลาด จึงมีความเสี่ยงสูงกว่า

+ ศักยภาพในการสร้างผลตอบแทน: หุ้นเบต้าสูงมีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่าในตลาดขาขึ้น แต่ก็อาจขาดทุนมากกว่าในตลาดขาลง

+ ความเหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุน: นักลงทุนระยะสั้นที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจชอบหุ้นเบต้าสูง ส่วนผู้ต้องการความมั่นคงอาจเลือกหุ้นเบต้าต่ำ

 

วิธีการคำนวณค่าBeta 

ค่าเบต้าสามารถคำนวณได้จากสูตร:

β = Covariance(หลักทรัพย์, ตลาด) / Variance(ตลาด)

 

แต่สำหรับนักลงทุนทั่วไป คุณไม่จำเป็นต้องคำนวณเอง เพราะสามารถหาข้อมูลค่าเบต้าได้จากเว็ปไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ คลิก ง่าย ๆ ใน 2 ขั้นตอน ดังนี้

1.พิมพ์ชื่อหุ้นที่ต้องการทราบค่า Beta ในช่อง “ค้นหาหลักทรัพย์, ข่าว, เนื้อหา”

2.เลื่อนไปที่ “ข้อมูลสำคัญ” ของหุ้นที่เราสนใจ จะพบค่า Beta ของหุ้นนั้น ๆ

ข้อมูลอ้างอิง : https://www.set.or.th/th/market/product/stock/quote/ADVANC/price

 

วิธีใช้ค่าBeta ให้เป็นประโยชน์ในการลงทุน

นี่คือวิธีที่นักลงทุนมือใหม่สามารถใช้ค่าเบต้าเพื่อยกระดับการลงทุนของตนเอง:

⏩ ปรับแต่งพอร์ตให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

+ หากคุณรับความเสี่ยงได้สูง: อาจเน้นหุ้นเบต้าสูงเพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่มากกว่า

+ หากคุณรับความเสี่ยงได้น้อย: เน้นหุ้นเบต้าต่ำเพื่อความผันผวนที่น้อยลง

+ สร้างสมดุล: ผสมผสานหุ้นที่มีค่าเบต้าต่างกันเพื่อให้พอร์ตมีความเสี่ยงตามที่ต้องการ

⏩ ใช้ค่าเบต้าในการวางแผนระยะยาว

+ เข้าใกล้เป้าหมาย: ลดสัดส่วนของหุ้นเบต้าสูงเมื่อเข้าใกล้เป้าหมายทางการเงิน เช่น เกษียณ

+ ระยะยาว: ถ้ามีเวลาลงทุนนาน อาจยอมรับความเสี่ยงจากหุ้นเบต้าสูงได้มากขึ้น

+ ปรับเปลี่ยนตามวัฏจักรตลาด: อาจเพิ่มหุ้นเบต้าต่ำในช่วงที่คาดว่าตลาดจะผันผวนสูง

⏩ หาค่าเบต้าของหุ้นและกองทุนได้อย่างไร?

+ เว็บไซต์ข้อมูลการลงทุน: เช่น Yahoo Finance, Morningstar หรือเว็บไซต์ของโบรกเกอร์

+ รายงานประจำปี: ของกองทุนรวมมักแสดงค่าเบต้าของพอร์ตโดยรวม

+ บริการวิเคราะห์การลงทุน: มีเครื่องมือคำนวณค่าเบต้าของพอร์ตโดยรวม

⏩ ข้อควรระวังในการใช้ค่าเบต้า

+ ไม่ใช่ตัวชี้วัดเดียว: ค่าเบต้าเป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือวัดความเสี่ยง ควรพิจารณาปัจจัยอื่นร่วมด้วย

+ อิงข้อมูลในอดีต: ค่าเบต้าคำนวณจากข้อมูลในอดีต อาจไม่สะท้อนความเสี่ยงในอนาคตได้ทั้งหมด

+ ช่วงเวลาที่คำนวณ: ค่าเบต้าอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ใช้ในการคำนวณ

 

ตัวอย่าง (Example)

กรณีศึกษาการใช้ค่าเบต้าในสถานการณ์จริง

ตัวอย่าง : การสร้างพอร์ตลงทุนตามระดับความเสี่ยง

คุณอนันต์ อายุ 35 ปี อยากสร้างพอร์ตการลงทุนระยะยาว โดยความเสี่ยงได้ในระดับปานกลาง เขาจึงเลือกจัดสรรเงินลงทุนดังนี้:

+ 40% ลงทุนในกองทุน ETF ที่มีค่าเบต้า 0.8 (ต่ำกว่าตลาดเล็กน้อย)

+ 30% ลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีค่าเบต้า 1.3 (สูงกว่าตลาด)

+ 20% ลงทุนในหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคที่มีค่าเบต้า 0.5 (ต่ำกว่าตลาด)

+ 10% ลงทุนในทองคำที่มีค่าเบต้า -0.2 (มักเคลื่อนไหวสวนทางกับตลาด)

ผลลัพธ์: เมื่อตลาดปรับตัวลง 10%  พอร์ตของคุณอนันต์ปรับตัวลงเพียง 5.7% เท่านั้น เพราะคุณอนันต์ได้กระจายความเสี่ยงในการลงทุนใว้ตั้งแต่แรกแล้ว

 

การเข้าใจเรื่อง Beta  ไม่ได้ช่วยให้เราขจัดความเสี่ยงได้ 100% แต่จะช่วยให้เราสามารถจัดการกับความเสี่ยงได้ดี

ยิ่งขึ้น การจัดพอร์ตและการกระจายความเสี่ยง ของเราก็จะดีขึ้น เพื่อให้เป้าหมายในการลงทุนของเราเป็นไปอย่างราบรื่น