งบการเงินคืออะไร? แชร์เทคนิคลัดเข้าใจง่ายใน 10 นาที
มือใหม่ หน้าซีด เมื่อต้องอ่านงบการเงิน? แชร์เทคนิคลัดเข้าใจง่ายใน 10 นาที
ทุกคนเคยรู้สึกหัวใจเต้นแรง เหงื่อซึม มือเย็น ทุกครั้งที่ต้องเปิดงบการเงินไหม? เราไม่ได้เป็นอยู่คนเดียว!
นักลงทุนมือใหม่หลายคนรู้สึกหวาดกลัวเมื่อเจอกับตัวเลขมากมายและศัพท์แสงทางบัญชีที่ดูเหมือนภาษาต่างดาว งบการเงินที่ควรเป็นเครื่องมือช่วยตัดสินใจกลับกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการลงทุน
แต่วันนี้เราจะมาเปลี่ยนความกลัวให้กลายเป็นความมั่นใจกัน!
อันตรายของการไม่เข้าใจงบการเงิน
การไม่เข้าใจงบการเงินไม่ใช่แค่ทำให้รู้สึกอึดอัดเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่ปัญหาร้ายแรงในการลงทุน:
+ ลงทุนในบริษัทที่มีปัญหาทางการเงิน โดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งหมด
+ พลาดโอกาสลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพ เพราะอ่านสัญญาณทางการเงินไม่ออก
+ ถูกหลอกจากตัวเลขที่ถูกแต่งแต้ม หรือการนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือน (ข้อนี้บางทีกว่าเราจะรู้ก็ต้องรอเกิดเรื่อง เราสามารถป้องกันได้ด้วยการ อ่าน 56-1 ของบริษัท ว่านำเสนอตัวเลขอย่างตรงไปตรงมาไหม)
+ ตัดสินใจด้วยอารมณ์แทนข้อมูล เพราะไม่รู้จะดูข้อมูลตรงไหน
เทคนิคลัด! อ่านงบการเงินแบบเข้าใจใน 10 นาที
1. งบการเงินคืออะไร? ทำความรู้จักงบการเงินหลัก 3 ประเภทใน 2 นาที
งบการเงิน คือ รายงานที่แสดงสุขภาพทางการเงินของบริษัท ช่วยให้เห็นภาพรวมทางการเงินและผลการดำเนินงานในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น งบประจำปี งบรายไตรมาส เพื่อให้นักลงทุนและผู้สนใจเข้าใจฐานะทางการเงินและแนวโน้มในอนาคต โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ งบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด
📚 รายงาน Broadridge (2020) ต่อกองทุนรวมพบว่า แม้นักลงทุนส่วนใหญ่จะเปิดอ่านรายงานกองทุน แต่ก็เป็นการอ่านเพียงบางส่วนหรืออ่านผ่านๆ – มีเพียง 12% เท่านั้นที่อ่านข้อมูลทุกส่วนอย่างครบถ้วนละเอียด ขณะที่ 4% ไม่อ่านเลย
⏩ งบแสดงฐานะทางการเงิน (Balance Sheet) หรือ งบดุลคืออะไร?
+ งบดุลคือ "ภาพถ่าย" ฐานะการเงินของบริษัท ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีทรัพย์สินและหนี้สินเท่าไร
+ โครงสร้างงบดุล คือ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น
+ การดูงบดุลจะช่วยให้เห็นภาพความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัท ว่าบริษัทมีหนี้สินมากน้อยเพียงใด และมีทรัพย์สินเพียงพอสำหรับการดำเนินธุรกิจต่อไปในอนาคตไหม
💡 สำหรับมือใหม่: ดูสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ถ้าต่ำกว่า 1 แสดงว่าบริษัทมีหนี้น้อยกว่าทุน (ดีกว่า)
⏩ งบกำไรขาดทุนคืออะไร? (Income Statement)
+ งบกำไรขาดทุนคือรายงานที่แสดงผลการดำเนินงานในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น 3 เดือน หรือ 1 ปี
+ บอกว่าบริษัททำรายได้มากแค่ไหน มีต้นทุนและค่าใช้จ่ายเท่าไร และเหลือกำไรสุทธิเท่าไร
+ ถ้าบริษัทมี กำไรสุทธิ เป็นบวก จะเพิ่มกำไรสะสมของบริษัท แต่หากติดลบ จะทำให้กำไรสะสมของบริษัทลดลง
💡 สำหรับมือใหม่: ดูอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ยิ่งสูงยิ่งดี และดูแนวโน้มการเติบโตของรายได้
⏩ งบกระแสเงินสดคืออะไร? (Cash Flow Statement)
+ งบกระแสเงินสดคือ รายงานที่ติดตามเงินสดไหลเข้า-ออกของบริษัทในช่วงเวลาหนึ่ง
+ แสดงให้เห็นว่าบริษัทได้เงินสดมาจากไหน (จากการกู้ยืม ชำระหนี้คืน หรือการขายสินค้าและบริการ และอื่นๆ) และ ใช้เงินสดไปกับอะไรบ้าง
💡 สำหรับมือใหม่: ดูกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Operating Cash Flow) ถ้าเป็นบวกและมากกว่ากำไรสุทธิแสดงว่ากำไรมีคุณภาพดี
2. สแกนจุดสำคัญใน 3 นาที
ในงบแสดงฐานะทางการเงิน ให้ดู:
+ เงินสด: บริษัทมีเงินสดเพียงพอสำหรับการดำเนินงานหรือไม่?
+ หนี้สินระยะสั้น: บริษัทมีภาระต้องชำระในปีนี้มากน้อยแค่ไหน?
+ หนี้สินระยะยาว: มีภาระผูกพันในอนาคตมากเพียงใด?
+ ส่วนของผู้ถือหุ้น: มูลค่าสุทธิของบริษัทเป็นบวกและเติบโตขึ้นหรือไม่?
ในงบกำไรขาดทุน ให้ดู:
+ รายได้: เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหรือไม่?
+ กำไรขั้นต้น: สัดส่วนของกำไรหลังหักต้นทุนขายเป็นอย่างไร?
+ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A): มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้หรือไม่?
+ กำไรสุทธิ: เติบโตขึ้นสอดคล้องกับรายได้หรือไม่?
ในงบกระแสเงินสด ให้ดู:
+ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน: เป็นบวกและเพียงพอต่อการลงทุนหรือไม่?
+ กระแสเงินสดจากการลงทุน: บริษัทกำลังลงทุนเพื่ออนาคตหรือไม่?
+ กระแสเงินสดจากการจัดหาเงิน: บริษัทกำลังกู้เงินหรือคืนเงินกู้?
3. ตรวจสอบสัญญาณอันตรายใน 2 นาที
+ กำไรเพิ่มแต่กระแสเงินสดลด: อาจมีการตกแต่งตัวเลขกำไร
+ หนี้สินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว: อาจมีปัญหาในการชำระหนี้ในอนาคต
+ รายได้เพิ่มแต่ลูกหนี้เพิ่มเร็วกว่า: อาจมีการเร่งยอดขายด้วยการผ่อนปรนเครดิต
+ ค่าใช้จ่ายพิเศษบ่อยครั้ง: อาจพยายามปกปิดค่าใช้จ่ายปกติ
+ สินค้าคงคลังเพิ่มเร็วกว่ายอดขาย: อาจมีปัญหาในการขายสินค้า
4. วิเคราะห์แนวโน้มอย่างรวดเร็วใน 3 นาที
+ เปรียบเทียบ 3 ปีย้อนหลัง: ดูว่าตัวเลขสำคัญมีทิศทางอย่างไร
+ เปรียบเทียบกับคู่แข่ง: ดูว่าบริษัททำได้ดีกว่าหรือแย่กว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน
+ ดูอัตราส่วนทางการเงินง่ายๆ:
- ROE (Return on Equity): กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ยิ่งสูงยิ่งดี)
- P/E (Price to Earnings): ราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้น (ต่ำ = อาจถูก, สูง = อาจแพง)
- Current Ratio: สินทรัพย์หมุนเวียนต่อหนี้สินหมุนเวียน (ควรมากกว่า 1)
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการอ่านงบการเงินสำหรับมือใหม่
Q: มือใหม่ควรเริ่มอ่านงบการเงินส่วนไหนก่อน?
A: มือใหม่ควรเริ่มจากงบกำไรขาดทุนก่อน เพราะเข้าใจง่ายที่สุด แล้วจึงไปดูงบแสดงฐานะทางการเงิน (งบดุล) และงบกระแสเงินสดตามลำดับ
Q: งบการเงินไตรมาสกับงบการเงินประจำปีแตกต่างกันอย่างไร?
A: งบการเงินไตรมาสครอบคลุมช่วงเวลา 3 เดือน ส่วนงบการเงินประจำปีครอบคลุมเวลา 12 เดือน โดยงบประจำปีจะผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีอย่างละเอียดมากกว่า
Q: มือใหม่อ่านงบการเงินควรให้ความสำคัญกับตัวเลขใดมากที่สุด?
A: ควรให้ความสำคัญกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Operating Cash Flow) เพราะเป็นตัวเลขที่บิดเบือนได้ยากที่สุดและสะท้อนความสามารถในการทำเงินจริงของธุรกิจ
Q: งบดุลต่างจากงบแสดงฐานะทางการเงินหรือไม่?
A: ไม่ต่างกัน งบดุลเป็นชื่อเรียกเดิม ปัจจุบันเรียกอย่างเป็นทางการว่า "งบแสดงฐานะทางการเงิน" แต่นักลงทุนยังคงเรียก "งบดุล" อยู่
Q: มือใหม่จะรู้ได้อย่างไรว่าบริษัทมีความมั่นคงทางการเงิน?
A: ดูจากอัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio > 1.5) อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio < 1) และมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกต่อเนื่อง (แต่ก็แล้วแต่อุตสาหกรรม ธุรกิจอย่าง ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ )
3 ทริคจากมืออาชีพสำหรับนักลงทุนมือใหม่
- ลงมือทำจริง: อ่านงบการเงินของบริษัทที่เราคุ้นเคย เช่น บริษัทที่เราใช้สินค้าหรือบริการเป็นประจำ
- เปรียบเทียบเป็นเรื่องราว: แปลงตัวเลขให้เป็นเรื่องราวของธุรกิจ เช่น "รายได้เพิ่ม 15% แต่กำไรเพิ่มแค่ 5% แสดงว่ามีต้นทุนเพิ่มขึ้น"
- เริ่มจากหมายเหตุประกอบงบการเงิน: บ่อยครั้งที่ข้อมูลสำคัญซ่อนอยู่ในส่วนนี้
การอ่านงบการเงินอาจดูน่ากลัวในตอนแรก แต่เมื่อคุณมีเทคนิคที่ถูกต้อง มันจะกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังในการตัดสินใจลงทุน ไม่จำเป็นต้องเป็นนักบัญชีหรือมีพื้นฐานด้านการเงิน เพียงแค่ทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานและฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ
และเรียนรู้จากคนที่มีประสบการณ์ หรือ มาเรียนกับเราที่ LIB ACADEMY ง่ายๆ เพียงแค่มีพอร์ตหุ้นกับเราก็สามารถเลือกเรียน คลาสต่างๆอีกมากมาย