เข้าใจผิดเรื่อง Free Float มาตลอด? เคลียร์ทุกข้อสงสัยที่นี่

เวลาดูหน้าซื้อขายหุ้นทำไมบางหุ้น Bid Offer น้อยๆ หรือเวลาที่ซื้อหุ้นแล้วแต่กลับขายไม่ออก สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะเรามองข้ามตัวเลขสำคัญอย่าง "Free Float"

⏩ Free Float คืออะไรกันแน่?

Free Float คือ สัดส่วนหุ้นที่อยู่ในมือผู้ถือหุ้นรายย่อยและพร้อมซื้อขายในตลาด

โดยไม่รวมหุ้นที่ถือโดย

+ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ (ถือเกิน 5%) + กรรมการและผู้บริหารบริษัท + ผู้มีอำนาจควบคุมบริษัท
+ รัฐบาลหรือหน่วยงานรัฐ + ผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์ที่ไม่ได้ซื้อขายบ่อย  

 

ตัวอย่างง่ายๆ : บริษัท A มีหุ้นทั้งหมด 100 ล้านหุ้น แบ่งเป็น

หุ้นที่ถือโดยผู้ถือหุ้นรายใหญ่และผู้บริหาร 30 ล้านหุ้น

หุ้นที่ถือโดยนักลงทุนรายย่อย 70 ล้านหุ้น

ดังนั้น Free Float ของบริษัท A = 70% ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง

 

⏩ ปัญหาที่นักลงทุนเจอเมื่อไม่รู้จัก Free Float

นักลงทุนส่วนใหญ่มักตัดสินใจลงทุนโดยดูแค่พื้นฐานบริษัท ราคาหุ้น และกำไรต่อหุ้น โดยไม่สนใจ Free Float ทำให้อาจจะเจอปัญหานี้

✖ สภาพคล่องต่ำ: ซื้อง่ายแต่ขายยาก โดยเฉพาะเมื่อต้องการขายในปริมาณมาก

✖ ราคาผันผวนสูง: หุ้นอาจพุ่งหรือร่วงแรงได้ง่ายแม้มีข่าวเพียงเล็กน้อย

✖ ตกเป็นเหยื่อการปั่นราคา: ถูกผู้มีอิทธิพลในตลาดทำให้ราคาไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง

✖ ถูกคัดออกจากดัชนี: จนเกิดแรงเทขายและราคาดิ่งลงอย่างรุนแรง

 

⏩ ทำไม Free Float จึงสำคัญมากกับนักลงทุน?

1. บอกสภาพคล่องในการซื้อขาย

+ Free Float สูง = สภาพคล่องสูง ซื้อขายง่าย ราคาเคลื่อนไหวน้อย (ผู้ลงทุนรายย่อยถือหุ้นเยอะ)

+ Free Float ต่ำ = สภาพคล่องต่ำ ซื้อขายยาก ราคาเคลื่อนไหวมาก (ผู้ลงทุนรายย่อยถือหุ้นน้อย)

2. สะท้อนความผันผวนของราคา

หุ้นที่มี Free Float ต่ำมักผันผวนมากกว่า เพราะแรงซื้อขายเพียงเล็กน้อยก็ทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงได้

3. เป็นเกณฑ์คัดเลือกเข้าดัชนีสำคัญ

ดัชนีอย่าง SET50, SET100 ใช้ Free Float เป็นเกณฑ์คัดเลือก หากบริษัทไหนที่ผ่านเกณฑ์ Free Float และมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง  ก็มักจะมีโอกาสเข้าไปอยู่ในดัชนีเหล่านี้  ซึ่งจะดึงดูดเงินลงทุนจากนักลงทุนสถาบันและต่างชาติเข้ามาลงทุน

4. บ่งชี้โครงสร้างอำนาจในบริษัท

Free Float ต่ำมักหมายถึงมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่มีอำนาจควบคุมสูง ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจที่อาจไม่เป็นประโยชน์กับผู้ถือหุ้นรายย่อยเสมอไป

 

⏩ อะไรทำให้ Free Float เปลี่ยนแปลง?

Free Float ไม่ใช่ตัวเลขคงที่ แต่เปลี่ยนแปลงได้จาก

+ การเพิ่มทุน: ทำให้ Free Float เพิ่มขึ้นหากเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป

+ การซื้อหุ้นคืน: ลด Free Float เพราะหุ้นซื้อคืนไม่ถือเป็น Free Float

+ การแตกพาร์: ทำให้มีจำนวนหุ้นมากขึ้น สภาพคล่องดีขึ้น

+ การควบรวมกิจการ: อาจเพิ่มหรือลด Free Float ขึ้นอยู่กับโครงสร้างการถือหุ้นใหม่

+ การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นรายใหญ่: หากรายใหญ่ขายหุ้นให้รายย่อย Free Float จะเพิ่ม

 

⏩ เกณฑ์ Free Float ตามตลาดหลักทรัพย์

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนดให้บริษัทจดทะเบียนต้องมี

Free Float ไม่น้อยกว่า 15% ของทุนชำระแล้ว

ผู้ถือหุ้นรายย่อยไม่น้อยกว่า 150 ราย

หากไม่เป็นไปตามเกณฑ์ บริษัทจะถูกขึ้นเครื่องหมาย CF (Caution Free Float) และหากแก้ไขไม่ได้เป็นเวลานาน อาจถูกขึ้นเครื่องหมาย SP (ห้ามซื้อขาย) และอาจถูกเพิกถอนในที่สุด

หุ้นที่มีสัดส่วน Free Float สูง (50%-80%) มีสภาพคล่องดี ทำให้ซื้อขายง่ายและราคามีเสถียรภาพมากกว่า เพราะมีหุ้นหมุนเวียนในตลาดจำนวนมาก

 

⏩ วิธีนำ Free Float ไปใช้ให้เกิดประโยชน์

1. พิจารณา Free Float ร่วมกับปริมาณการซื้อขาย

หากหุ้นมี Free Float ต่ำแต่มีปริมาณซื้อขายสูงมาก อาจบ่งชี้ว่ามีการเก็งกำไรหรือปั่นหุ้น เช่น หุ้นมี Free Float เพียง 20% แต่มีการซื้อขายหมุนเวียนถึง 30% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดต่อวัน

2. ระวังหุ้นที่ถูก "Corner"

หุ้นที่มี Free Float ต่ำมักถูก "Corner" (การกวาดซื้อหุ้นจนเกือบหมด) ได้ง่าย ทำให้ผู้ที่ถือหุ้นจำนวนมากสามารถควบคุมราคาในตลาดได้

3. ตรวจสอบก่อนการลงทุนขนาดใหญ่

หากต้องการลงทุนในปริมาณมาก ควรตรวจสอบ Free Float ก่อนเสมอ เพราะถ้า Free Float ต่ำ การซื้อปริมาณมากอาจทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นมาก และการขายออกก็จะทำได้ยาก