นโยบายการเงิน (Monetary Policy) คืออะไร ? เรียนรู้ความหมายและผลกระทบต่อการลงทุน
Monetary Policy คืออะไร ? และ กระทบการลงทุนของคุณอย่างไร?
เคยสงสัยไหมว่าทำไมหุ้นในพอร์ตลงทุนของคุณถึงดิ่งลงทันทีหลังจากข่าวการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย? หรือทำไมตลาดอสังหาริมทรัพย์ถึงชะลอตัวเมื่อธนาคารกลางประกาศท่าทีเข้มงวด?
คำตอบคือ "นโยบายการเงิน" หรือ Monetary Policy
Monetary Policy คืออะไร ? นโยบายการเงินคืออะไร?
นโยบายการเงิน หรือ Monetary Policy คือ การดำเนินงานของธนาคารกลาง (เช่น Federal Reserve ในสหรัฐฯ หรือ ธนาคารแห่งประเทศไทย) เพื่อควบคุมปริมาณเงินและอัตราดอกเบี้ยในระบบเศรษฐกิจ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก ได้แก่
- รักษาเสถียรภาพของราคา - ควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
- ส่งเสริมการจ้างงานเต็มที่ - สนับสนุนให้มีการจ้างงานในระดับสูง
- สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน - สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
- รักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน - ป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตในระบบการเงิน
อธิบายแบบง่ายๆ คือ นโยบายการเงิน คือ การที่ธนาคารชาติ (เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย) ปรับเปลี่ยนดอกเบี้ยและควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ เพื่อดูแลให้เศรษฐกิจมีความมั่นคง ไม่มีเงินเฟ้อสูงเกินไป และมีการจ้างงานที่ดี
เครื่องมือหลักของนโยบายการเงิน
ธนาคารกลางมีเครื่องมือหลายประเภทในการดำเนินนโยบายการเงิน ได้แก่
+ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย - เป็นอัตราอ้างอิงที่ส่งผลต่อดอกเบี้ยในระบบการเงินทั้งหมด
+ การดำเนินการตลาดแบบเปิด - การซื้อหรือขายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อเพิ่มหรือลดปริมาณเงินในระบบ
+ การกำหนดอัตราเงินสำรองขั้นต่ำ - ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงเงินสำรองตามสัดส่วนที่กำหนด
+ มาตรการพิเศษ - เช่น การเข้าซื้อสินทรัพย์ขนาดใหญ่ (QE) ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ
แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายแบบเข้าใจง่ายๆ
นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เปรียบเสมือนการ "กระตุ้นเศรษฐกิจ" ในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา
เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี จะเกิดอะไรขึ้น?
+ คนไม่ค่อยมีเงินจับจ่ายใช้สอย
+ ร้านค้าขายของไม่ค่อยได้ บางร้านอาจต้องปิดกิจการ
+ คนตกงานมากขึ้น เมื่อมีการปิดกิจการ
+ เมื่อคนตกงาน ก็ยิ่งไม่มีเงินใช้จ่าย เศรษฐกิจยิ่งแย่ลงไปอีก
แบงก์ชาติทำอย่างไร?
แบงก์ชาติจะใช้ "นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย" โดย
+ ลดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นดอกเบี้ยต้นแบบที่มีผลต่อดอกเบี้ยอื่นๆ ในระบบ
ลดดอกเบี้ยแล้วดียังไง?
ฝั่งคนทั่วไป
+ เมื่อดอกเบี้ยเงินฝากต่ำลง → ฝากเงินไว้ได้ดอกน้อย → คนอยากเอาเงินออกมาใช้มากขึ้น
+ เมื่อดอกเบี้ยเงินกู้ถูกลง → ซื้อบ้าน ซื้อรถง่ายขึ้น เพราะผ่อนถูกลง
+ การใช้บัตรเครดิตมีดอกเบี้ยถูกลง → คนกล้าใช้จ่ายมากขึ้น
ฝั่งธุรกิจ
+ กู้เงินมาลงทุนได้ถูกลง → ขยายกิจการ เพิ่มการผลิต
+ มีคนมาซื้อของมากขึ้น → ต้องการคนงานมากขึ้น → จ้างงานเพิ่ม
ผลลัพธ์ต่อเศรษฐกิจ
+ การใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
+ ธุรกิจขายของได้มากขึ้น มีกำไรมากขึ้น
+ มีการจ้างงานมากขึ้น คนมีรายได้มากขึ้น
+ เศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น คึกคักขึ้น
แต่ก็มีข้อควรระวัง คือ อาจทำให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้นได้ (เงินเฟ้อ) ถ้าการกระตุ้นมากเกินไป
พูดง่ายๆ คือ แบงก์ชาติพยายาม "ทำให้เงินไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น" โดยทำให้การเก็บเงินไว้เฉยๆ ได้ประโยชน์น้อยลง และการกู้ยืมมาใช้จ่ายทำได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
นโยบายการเงินแบบตึงตัวเข้าใจง่ายๆ
นโยบายการเงินแบบตึงตัว เปรียบเสมือนการ "เหยียบเบรก" เศรษฐกิจในช่วงที่เศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป
เมื่อเศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป จะเกิดอะไรขึ้น?
+ คนมีเงินและแย่งกันซื้อสินค้า
+ ร้านค้าขายของได้ดี และขึ้นราคาสินค้าเรื่อยๆ
+ โรงงานผลิตสินค้าไม่ทัน แย่งกันซื้อวัตถุดิบทำให้ต้นทุนสูงขึ้น
+ ราคาสินค้าและบริการพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (เงินเฟ้อสูง)
แบงก์ชาติทำอย่างไร?
แบงก์ชาติจะใช้ "นโยบายการเงินแบบตึงตัว" โดย:
- เพิ่มดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะส่งผลให้ดอกเบี้ยอื่นๆ ในระบบปรับตัวขึ้นตาม
เพิ่มดอกเบี้ยแล้วเกิดอะไรขึ้น?
- ฝั่งคนทั่วไป:
+ เมื่อดอกเบี้ยเงินฝากสูงขึ้น → ฝากเงินได้ดอกเบี้ยมาก → คนอยากเก็บเงินไว้ในธนาคารมากกว่าเอาออกมาใช้
+ เมื่อดอกเบี้ยเงินกู้แพงขึ้น → ไม่อยากซื้อบ้าน ซื้อรถ เพราะผ่อนแพงขึ้น
+ การใช้บัตรเครดิตมีดอกเบี้ยแพงขึ้น → คนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น - ฝั่งธุรกิจ:
+ กู้เงินมาลงทุนแพงขึ้น → ชะลอการขยายกิจการ ชะลอการผลิต
+ มีคนมาซื้อของน้อยลง → ไม่สามารถขึ้นราคาสินค้าได้มากเหมือนก่อน
ผลลัพธ์ต่อเศรษฐกิจ:
+ การใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจลดลง
+ แรงกดดันด้านราคาสินค้าลดลง
+ อัตราเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัว
+ เศรษฐกิจเติบโตช้าลง แต่มีเสถียรภาพมากขึ้น
พูดง่ายๆ คือ แบงก์ชาติพยายาม "ทำให้เงินไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจช้าลง" โดยทำให้การเก็บเงินไว้ได้ประโยชน์มากขึ้น และการกู้ยืมมาใช้จ่ายทำได้ยากขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจไม่ร้อนแรงเกินไปจนเกิดเงินเฟ้อที่รุนแรง
เพิ่มดอกเบี้ย ขายพันธบัตร เพิ่ม สัดส่วนเงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์
นโยบายการเงิน นโยบายการคลังต่างกันยังไง?
คนควบคุมนโยบายทั้ง 2 จะแตกต่างกัน ซึ่งคนที่ควบคุมนโยบายการเงินจะเป็น ธนาคารกลาง อย่าง เฟด หรือ ธนาคารแห่งประเทศไทย
แต่คนที่ควบคุมนโยบายการคลัง คือ รัฐบาล ซึ่งจะมีมาตราการต่างกัน และเห็นผลไวกว่าการใช้นโยบายการเงิน
การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนินนโยบายการเงินเพื่อบรรลุ 3 เป้าหมายหลัก คือ เสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลาง เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน และเสถียรภาพของระบบการเงิน
อัตราเงินเฟ้อเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดนโยบายการเงิน เพราะอัตราเงินเฟ้อที่เหมาะสม (ไม่สูงหรือต่ำเกินไป) ช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ ธปท. จึงดำเนินนโยบายการเงินเพื่อให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่เหมาะสม
ธปท. ใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting) และผสมผสานเครื่องมือหลายประเภท ทั้งนโยบายการเงิน มาตรการทางการเงิน มาตรการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน มาตรการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน และมาตรการดูแลเงินทุนเคลื่อนย้าย มาใช้อย่างบูรณาการ
ปัจจุบันประเทศไทยใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการ โดยค่าเงินบาทถูกกำหนดโดยกลไกตลาด และ ธปท. จะเข้าดูแลเฉพาะในกรณีที่ค่าเงินบาทผันผวนมากเกินไปเท่านั้น
ธปท. ติดตามและประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอย่างไร ?
นโยบายการเงินใช้เวลาประมาณ 2 ปีถึงจะมีผลเต็มที่ต่อเศรษฐกิจ ธปท. จึงต้องมีการประเมินภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในอนาคตที่น่าเชื่อถือและครบถ้วนรอบด้าน
ธปท. ใช้ข้อมูล 2 แบบในการตัดสินใจ
1. ข้อมูลตัวเลข เช่น:
+ รายงานเศรษฐกิจประจำเดือน
+ ตัวเลขที่บอกแนวโน้มเศรษฐกิจล่าสุด
2. ข้อมูลจากคนจริง เช่น:
+ การสัมภาษณ์ผู้ประกอบการเชิงลึกทั่วประเทศ
ธปท. ยังติดตามเรื่องอื่นๆ ด้วย
+ สถานการณ์การเงินในประเทศ
+ ความมั่นคงทางการเงินของธุรกิจ ครัวเรือน และธนาคาร
+ เศรษฐกิจและการเงินทั่วโลก
การดูข้อมูลรอบด้านช่วยให้ ธปท. ตัดสินใจได้ดีขึ้นว่าควรปรับดอกเบี้ยหรือใช้มาตรการอื่นๆ อย่างไร เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ
ข้อมูลอ้างอิง : https://www.bot.or.th/th/our-roles/monetary-policy/about-monetary-policy.html , https://www.bot.or.th/th/research-and-publications/articles-and-publications/economics-book.html
กระทบการลงทุนของอย่างไร?
ผลกระทบต่อเงินฝากและตราสารหนี้
ช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น (นโยบายตึงตัว)
+ เงินฝากให้ผลตอบแทนสูงขึ้น เหมาะกับการฝากประจำระยะยาว
+ พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ที่ออกใหม่ให้ดอกเบี้ยสูง
+ แต่ราคาพันธบัตรเก่าและหุ้นกู้เก่าจะตกลง (ดอกเบี้ยขึ้น ราคาตราสารหนี้ลง)
ช่วงดอกเบี้ยขาลง (นโยบายผ่อนคลาย)
+ เงินฝากให้ผลตอบแทนต่ำลง ไม่น่าสนใจสำหรับการออม
+ ราคาพันธบัตรและหุ้นกู้ที่มีอยู่เดิมจะเพิ่มขึ้น (กำไรจากการถือครอง)
ผลกระทบต่อหุ้น
ช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น (นโยบายตึงตัว)
+ หุ้นมักจะปรับตัวลง โดยเฉพาะหุ้นเติบโต (Growth Stock) และหุ้นที่มีหนี้สูง
+ กลุ่มธนาคารอาจได้ประโยชน์จากส่วนต่างดอกเบี้ยที่มากขึ้น
ช่วงดอกเบี้ยขาลง (นโยบายผ่อนคลาย)
+ ตลาดหุ้นมักปรับตัวขึ้น เพราะต้นทุนเงินกู้ถูกลง กำไรบริษัทเพิ่มขึ้น
+ หุ้นจ่ายปันผลอาจได้รับความสนใจน้อยลง เมื่อเทียบกับช่วงดอกเบี้ยสูง
ผลกระทบต่อสินทรัพย์ทางเลือก
อสังหาริมทรัพย์
+ ดอกเบี้ยขึ้น → ต้นทุนสินเชื่อแพงขึ้น → กำลังซื้อลดลง → ราคาอสังหาฯ อาจชะลอตัว
+ ดอกเบี้ยลง → ต้นทุนสินเชื่อถูกลง → กำลังซื้อเพิ่มขึ้น → ราคาอสังหาฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ทองคำ
+ ดอกเบี้ยขึ้น → ทองมักจะไม่ค่อยน่าสนใจ เพราะไม่ให้ดอกเบี้ย
+ ดอกเบี้ยลง → ทองมักจะน่าสนใจมากขึ้น เป็นทางเลือกในการรักษามูลค่าเงิน
การที่เราเข้าใจ ว่านโยบายการเงินคืออะไร และเข้าใจผลกระทบของนโยบายการเงิน จะช่วยให้เราวางแผนการลงทุนได้อย่างเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และสามารถปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนได้ดัขึ้น