Sharpe Ratio คืออะไร ? ทำไมเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการเลือกกองทุน
Sharpe Ratio คืออะไร ? ทำไม Sharpe Ratio จึงเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญกับการเลือกกองทุน
เมื่อพูดถึงการลงทุนในหุ้น คนส่วนใหญ่มักสนใจแต่ผลตอบแทน "หุ้นตัวนี้ขึ้น 20% ในปีที่แล้ว!" "กองทุนนี้ให้ผลตอบแทน 15% ต่อปี!" แต่มีกี่คนที่ถามว่า "แล้วความเสี่ยงล่ะ?" หรือ "ผลตอบแทนนี้คุ้มกับความเสี่ยงที่ต้องแบกรับไหม?"
นักลงทุนมือใหม่มักหลีกเลี่ยงการพูดถึง Sharpe Ratio เพราะดูเป็นเรื่องซับซ้อน มีสูตรคำนวณทางคณิตศาสตร์ และเต็มไปด้วยศัพท์เทคนิค แต่แท้จริงแล้ว แนวคิดพื้นฐานของมันเข้าใจได้ไม่ยาก
Sharpe Ratio คืออะไร
Sharpe Ratio คือตัวชี้วัดที่บอกว่าการลงทุนหนึ่งๆ ให้ผลตอบแทนมากน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่ต้องแบกรับ หรือพูดง่ายๆ คือ "อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง"
ลองนึกถึงตอนที่เราไปซื้อน้ำผลไม้ในซุปเปอร์มาร์เก็ต แล้วเห็นน้ำส้มสองแบบ:
- แบบที่ 1: น้ำส้ม 100% ขวดใหญ่ 1 ลิตร ราคา 120 บาท
- แบบที่ 2: น้ำส้ม 100% ขวดเล็ก 250 มิลลิลิตร ราคา 35 บาท
เราจะเปรียบเทียบความคุ้มค่าอย่างไร? เราต้องคำนวณว่าเงิน 1 บาทซื้อน้ำส้มได้กี่มิลลิลิตร:
- แบบที่ 1: 1 ลิตร (1,000 มล.) ÷ 120 บาท = 8.33 มล. ต่อบาท
- แบบที่ 2: 250 มล. ÷ 35 บาท = 7.14 มล. ต่อบาท
เห็นได้ชัดว่าขวดใหญ่คุ้มค่ากว่า เพราะเงินแต่ละบาทจะได้น้ำส้มมากกว่า
การลงทุนก็เหมือนกัน เราไม่ควรดูแค่ "ผลตอบแทน" อย่างเดียว เหมือนกับที่เราไม่ได้ดูแค่ "ปริมาณน้ำส้ม" โดยไม่สนใจราคา แต่เราต้องดูด้วยว่าต้องแลกกับ "ความเสี่ยง" เท่าไร Sharpe Ratio จึงเป็นเหมือนการคำนวณว่า "ผลตอบแทน 1% ต้องแลกกับความเสี่ยงกี่เปอร์เซ็นต์" หรือพูดอีกแบบคือ "ความเสี่ยง 1% ให้ผลตอบแทนกี่เปอร์เซ็นต์"
Sharpe Ratio มาจากไหน
Sharpe Ratio ถูกคิดค้นโดย วิลเลียม เอฟ. ชาร์ป (William F. Sharpe) นักเศรษฐศาสตร์ในปี 1966 โดยมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจดังนี้:
+ เริ่มแรก ชาร์ปเรียกมันว่า "อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความผันผวน" (reward-to-variability ratio) ก่อนที่จะเป็นที่รู้จักในชื่อ "อัตราส่วนชาร์ป"
+ เป็นส่วนต่อยอดจากทฤษฎีแบบจำลองการกำหนดราคาสินทรัพย์ทุน (CAPM) ที่เขาพัฒนาขึ้น
+ ในปี 1994 ชาร์ปได้ปรับปรุงสูตรให้ทันสมัยขึ้น โดยเน้นการเปรียบเทียบกับดัชนีตลาดที่เกี่ยวข้อง แทนการใช้อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยงคงที่ ทำให้การวัดปรับตัวได้ดีขึ้นตามสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลง
+ ผลงานด้านการเงินของชาร์ป รวมถึงการพัฒนาอัตราส่วนนี้ ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 1990
คำนวณยังไง
Sharpe Ratio = (Rp - Rf) / σp
+ Rp คือผลตอบแทนเฉลี่ยของพอร์ตการลงทุน
+ Rf คืออัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยง (เช่น พันธบัตรรัฐบาล)
+ σp คือค่าความผันผวน (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) ของผลตอบแทน
ตัวอย่างการคำนวณง่ายๆ สมมติว่าเรามีหุ้นสองตัว
+ หุ้น A: ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 12% ต่อปี และมีความผันผวน 10%
+ หุ้น B: ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 18% ต่อปี และมีความผันผวน 20%
อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล (ไม่มีความเสี่ยง) อยู่ที่ 3% ต่อปี (รอถึงตอนไหนนะจะได้ดอกเท่านี้555+)
คำนวณ
+ หุ้น A: (12% - 3%) / 10% = 0.9
+ หุ้น B: (18% - 3%) / 20% = 0.75
แม้ว่าหุ้น B จะให้ผลตอบแทนสูงกว่า แต่เมื่อคำนึงถึงความเสี่ยงแล้ว หุ้น A กลับมีความคุ้มค่ามากกว่า (Sharpe Ratio 0.9 > 0.75)
แล้ว Sharpe Ratio มีดียังไง ?
+ เปรียบเทียบการลงทุนได้ดี : ทำให้เราสามารถเปรียบเทียบการลงทุนที่มีความเสี่ยงและผลตอบแทนแตกต่างกันได้
+ ช่วยในการตัดสินใจ: บอกเราว่าผลตอบแทนที่ได้รับนั้นคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่ต้องแบกรับหรือไม่
+ ประเมินฝีมือผู้จัดการกองทุน: แยกแยะได้ว่าผู้จัดการกองทุนสร้างผลตอบแทนที่ดีเพราะความสามารถหรือเพราะแค่เพิ่มความเสี่ยง
+ ง่ายต่อการตีความ: ยิ่งค่าสูง ยิ่งดี (โดยทั่วไป Sharpe Ratio ที่ดีควรมากกว่า 1)
เอามาใช้ยังไง
นักลงทุนรายย่อยสามารถใช้ชาร์ป เรโชในชีวิตประจำวันได้ดังนี้:
+ เปรียบเทียบกองทุนรวม: เมื่อต้องเลือกระหว่างกองทุนหลายๆ กอง ให้พิจารณาชาร์ป เรโชของแต่ละกอง นอกเหนือจากผลตอบแทนในอดีต
+ ประเมินพอร์ตการลงทุน: คำนวณชาร์ป เรโชของพอร์ตโดยรวม เพื่อดูว่าการกระจายความเสี่ยงของคุณมีประสิทธิภาพหรือไม่
+ ตั้งเป้าหมายการลงทุน: กำหนดเป้าหมายชาร์ป เรโชที่ต้องการ เช่น มากกว่า 1 เพื่อให้มั่นใจว่าคุณได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยง
+ ตรวจสอบที่ปรึกษาการลงทุน: ถามที่ปรึกษาการลงทุนของคุณเกี่ยวกับชาร์ป เรโชของพอร์ตที่เขาแนะนำ
+ ปรับปรุงการลงทุน: ใช้ชาร์ป เรโชเป็นแนวทางในการปรับพอร์ตการลงทุน โดยพยายามเพิ่มผลตอบแทนโดยไม่เพิ่มความเสี่ยงมากเกินไป
ดังนั้นเมื่อเราใช้ Sharpe Ratio ในการประเมินการลงทุน เราควรเลือกเปรียบเทียบระหว่างกองทุนหรือสินทรัพย์ที่มีลักษณะเหมือนกัน เช่น กองทุนหุ้นเปรียบเทียบกับกองทุนหุ้น หรือกองทุนตราสารหนี้เปรียบเทียบกับกองทุนตราสารหนี้ที่มีระยะเวลาการลงทุนและตลาดที่ลงทุนใกล้เคียงกัน การเปรียบเทียบแบบนี้จะทำให้เราได้ข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้นและเห็นภาพชัดเจนว่าผลตอบแทนที่ได้รับนั้นคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่ต้องแบกรับหรือไม่ ช่วยให้เราตัดสินใจเลือกลงทุนในสินทรัพย์หรือกองทุนที่เหมาะสมที่สุดได้อย่างมั่นใจ