นักลงทุนไม่ควรพลาด 7 อัตราส่วน
นักลงทุนไม่ควรพลาด 7 อัตราส่วน
ช่วยประเมินความคุ้มค่า ก่อนการลงทุนในหุ้น
#ให้ภาพรวมที่ครอบคลุมในการวิเคราะห์สถานะการเงิน:
อัตราส่วนแต่ละตัวจะมองภาพรวมในด้านต่างๆ ของบริษัท เช่น ความสามารถในการทำกำไร ความมั่นคงทางการเงิน และการบริหารจัดการหนี้สิน ทำให้นักลงทุนมองเห็นสถานะการเงินและการดำเนินงานของบริษัทอย่างรอบด้าน
ช่วยลดการพึ่งพาตัวเลขเดียวหรือปัจจัยเฉพาะตัวที่อาจจะทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้
ㅤ
#ช่วยในการคัดกรองหุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
การใช้ Financial Ratios ทำให้นักลงทุนสามารถคัดกรองหุ้นหลายๆ ตัวเพื่อหาหุ้นที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด เช่น การเลือกหุ้นที่มี ROIC สูง เพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทมีผลตอบแทนที่ดีต่อการลงทุน หรือตัวเลข Debt to Equity ต่ำ เพื่อเลี่ยงหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง
ช่วยประหยัดเวลาในการคัดเลือกหุ้นที่น่าสนใจ เพราะอัตราส่วนเหล่านี้สามารถช่วยในการเปรียบเทียบได้ง่ายและรวดเร็ว
ㅤ
#ช่วยวิเคราะห์การเติบโตและศักยภาพในการแข่งขันของบริษัท:
การดูอัตราส่วน เช่น Gross Margin และ EBIT Margin สามารถช่วยให้มองเห็นความสามารถของบริษัทในการแข่งขันในตลาดและการรักษาความได้เปรียบทางธุรกิจ หากมาร์จินเหล่านี้สูงกว่าคู่แข่ง จะหมายถึงการรักษาฐานลูกค้าและความได้เปรียบทางการตลาด
ตัวเลข Earnings Per Share (EPS) ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง แสดงถึงศักยภาพในการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อการเติบโตในอนาคต
ㅤ
#ประเมินความเสี่ยงในการลงทุน:
อัตราส่วน เช่น Debt to Equity (D/E) และ Debt to Assets ช่วยในการวัดความเสี่ยงทางการเงินของบริษัท โดยดูจากระดับหนี้สินที่บริษัทมีและความสามารถในการจัดการหนี้ หากตัวเลขเหล่านี้ต่ำ จะหมายถึงความมั่นคงที่สูงขึ้นและมีโอกาสน้อยที่จะประสบปัญหาสภาพคล่อง
การดู CapEx/Sales ช่วยในการประเมินว่าบริษัทมีการลงทุนที่มากเกินไปหรือไม่ หากอัตราส่วนนี้ต่ำ แสดงว่าบริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายลงทุนได้ดี ซึ่งลดความเสี่ยงด้านการเงินได้
ㅤ
#ช่วยให้เข้าใจประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรของบริษัท:
อัตราส่วนเช่น Return on Invested Capital (ROIC) เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการดูว่าบริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนได้มากน้อยเพียงใดจากเงินทุนที่ลงทุนไป หาก ROIC สูง จะหมายถึงบริษัทใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพในการสร้างผลตอบแทน
ช่วยให้มั่นใจได้ว่าเงินทุนที่ลงทุนในบริษัทถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่สิ้นเปลืองไปกับการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
ㅤ
#ใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานในการเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน:
Financial Ratios ทำให้นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันได้ง่ายขึ้น โดยมีเกณฑ์ในการตัดสินใจ เช่น ดูว่า Gross Margin ของบริษัทสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมหรือไม่ ซึ่งจะบอกถึงความสามารถในการแข่งขันของบริษัท
ช่วยให้สามารถแยกบริษัทที่แข็งแกร่งออกจากบริษัทที่อาจมีความเสี่ยงสูงได้ ช่วยลดความเสี่ยงในการเลือกหุ้นที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขันในตลาด
ㅤ
#เป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว:
Financial Ratios สามารถใช้ในการวิเคราะห์ได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยบางอัตราส่วนอาจเหมาะกับการวิเคราะห์สภาพคล่องในระยะสั้น เช่น Current Ratio และ Quick Ratio ขณะที่อัตราส่วนที่เกี่ยวข้องกับผลตอบแทนและกำไร เช่น ROIC และ EBIT Margin ช่วยวิเคราะห์ความคุ้มค่าในการลงทุนในระยะยาว
ช่วยให้นักลงทุนมีเครื่องมือในการปรับกลยุทธ์ได้ตามสภาวะการตลาดและการดำเนินงานของบริษัท
ㅤ
#ช่วยให้นักลงทุนมั่นใจในการตัดสินใจลงทุน:
การใช้อัตราส่วนทางการเงินในการวิเคราะห์ทำให้นักลงทุนสามารถประเมินข้อมูลอย่างมีหลักการและมั่นใจมากขึ้นในการตัดสินใจลงทุน เนื่องจากมีข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์มาแล้ว และไม่เพียงแค่ใช้สัญชาตญาณหรือข้อมูลที่คลุมเครือ
ช่วยลดอารมณ์ความรู้สึกที่อาจจะทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ โดยอาศัยข้อมูลที่ชัดเจนและมีการเปรียบเทียบที่แน่นอน
ㅤ
โดยสรุป การประเมินความคุ้มค่าด้วย Financial Ratios ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจสถานะการเงินและประสิทธิภาพของบริษัทได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการตัดสินใจลงทุนอย่างมั่นคงและลดความเสี่ยงในการลงทุน
ㅤ
ขยายโอกาสการลงทุนในบริษัทศักยภาพทั่วโลกไปกับ Liberator เพียงมีบัญชีหุ้นสหรัฐอเมริกากับค่าคอมสุดคุ้ม และ สิทธิประโยชน์มากมาย กิจกรรมคอมมูนิตี้หลากหลาย เข้าใช้งานคลังความรู้ออนไลน์ เปิดบัญชีง่ายๆ *ใต้คอมเมนต์*
ㅤ
รู้หรือไม่ : ไม่เพียงแต่หุ้นสหรัฐอเมริกาแต่เพื่อนๆยังสามารถลงทุนในบริษัทจากประเทศอื่นๆที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ รวมแล้วกว่า 8,000 ตัว ได้เช่นกัน
หากมีบัญชีกับ Liberator แล้ว