ลงทุนหุ้นอเมริกา ( เริ่มจาก 0 จนมีหุ้นตัวแรกในพอร์ต )

“ หลายคนที่อยากจะเริ่มลงทุนในหุ้นอเมริกา ”

ล้วนมีคำถามเดียวกันคือ ไม่รู้ว่าทำไมต้องลงทุน กลัวความเสี่ยง ไม่รู้จะเปิดพอร์ตที่ไหน ไม่รู้จะหาข้อมูลจากไหน ขนาดคนที่ลงทุนในหุ้นไทยอยู่แล้ว ยังไม่กล้าลงทุนในหุ้นอเมริกา เราจึงได้รวบรวมคำถามที่ได้ถามเพื่อนๆนักลงทุนว่าเพราะอะไรกันนะ ทำไมยังไม่ลงทุนหุ้นต่างประเทศกัน คำตอบที่ได้คือ

เพราะไม่รู้กฏข้อแตกต่างของตลาดหุ้นอเมริกากับตลาดหุ้นไทย คิดว่าการเริ่มเป็นเรื่องยากแล้ว เวลาหาข้อมูลก็เป็นข้อมูลกระจายมั่วไปหมดไม่ครบจบในที่เดียว และยังไม่มีความรู้เลยไม่อยากลงทุน

วันนี้เราเลยอยากเขียนบทความ ที่ครบ จบ ในที่เดียวที่จะให้ “ มือใหม่ลงทุนหุ้นอเมริกา 101 ” สามารถเริ่มจาก 0 จนสามารถเริ่มต้นลงทุนได้ หลังอ่านบทความนี้จบ

ทำไมต้องลงทุน

คำถามแรกๆที่หลายคนสงสัย เราแค่หาเงินแล้วฝากไว้เฉยๆไม่ได้เหรอ?
ทำไมเราต้องเอาเงินไปเสี่ยงด้วย แต่ความเป็นจริงนั้นไม่ใช่เลยเพราะการที่เราฝากเงินใว้เฉยๆ ก็มีความเสี่ยงเหมือนกัน เราคงเคยได้ยิน ประโยคที่ว่า มนุษย์มีสองสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ คือ “ ความตาย + เงินเฟ้อ ” (และภาษีด้วยนะ 555+)

“ เงินเฟ้อคืออะไร”

เงินเฟ้อ คือ การที่ต้นทุนการผลิตสินค้าแพงขึ้น เกิดจากการพิมพ์เงินเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น และอีกหลายเหตุผลๆ ที่จะทำให้เกิดเงินเฟ้อ แล้วเงินเฟ้อกระทบกับเรายังไง ?

ยกตัวอย่างให้เราเห็นภาพกันง่ายๆ เลย ย้อนอดีตไปประมาณ 20 ปีที่แล้ว
เรากินข้าวขาหมู จานละ 20 บาท แต่ตอนนี้ ราคาข้าวขาหมู ขึ้นมา 50-60 บาทแล้ว

โห!! ราคาขึ้นมา 2-3 เท่าเลยหรือนี่ นี่แหละพลังของเงินเฟ้อ เราต้องใช้จ่ายมากขึ้น กับของที่ปริมาณเท่าเดิม แล้วเราจะหาเงินยังไงให้ทันเงินเฟ้อเนี้ยะ

ทีนี้ทุกคนคงเห็นภาพกันแล้วว่าเงินเฟ้อส่งผลกับชีวิตของเรายังไงบ้าง
“ ผลกระทบร้ายแรงขนาดนี้แล้วเราจะป้องกันยังไงดีละ ” นี่แหละที่มาที่เราต้องลงทุน !!

การลงทุนมีได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น ที่ดิน , ทองคำ , อสังหาริมทรัพย์ , กระเป๋า , นาฬิกา , หุ้น ซึ่งแต่ละสินทรัพย์ก็มีข้อดีของตัวเอง และเกี่ยวข้องกับความถนัดของแต่ละบุคคลด้วย วันนี้เราจะหยิบสินทรัพย์หลักอย่าง "หุ้น" มาให้นักลงทุนมือใหม่ได้เรียนรู้กัน

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องลงทุนในหุ้น ทั้งที่มีตัวเลือกการลงทุนอื่นๆ มากมาย คำตอบคือ หุ้นอาจดูเสี่ยง แต่หากเรียนรู้และเข้าใจหลักการลงทุนที่ถูกต้อง เราสามารถลดความเสี่ยงและสร้างโอกาสในการเติบโตได้อย่างมั่นคง

ทำไมต้องหุ้นอเมริกา

คำตอบที่เราต้องลงทุนหุ้นเมกาเลย ก็เพราะตลาดหุ้นสหรัฐเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก หากเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นไทย ความแตกต่างชัดเจนมาก หุ้นเพียงตัวเดียวของสหรัฐ เช่น Meta (Facebook) มีมูลค่าตลาดสูงกว่าตลาดหุ้นไทยทั้งตลาดเกือบ 2 เท่า

 

ข้อดีของตลาดหุ้นอเมริกา

ตลาดใหญ่ซื้อง่ายขายคล่อง

ตลาดหุ้นสหรัฐ เช่น NYSE และ NASDAQ เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าตลาดมหาศาลและสภาพคล่องสูง การซื้อขายหุ้นจึงเป็นไปอย่างรวดเร็วและง่าย

มีสินทรัพย์ให้เลือกลงทุนเยอะ

มีจำนวนมากกว่า 6,000 ตัว ทั้งหุ้น และ ETF จากการที่มีหุ้นเยอะนี่แหละจึงทำให้เรามีโอกาสได้เจอกับหุ้นบริษัทระดับโลก เช่น Apple, Microsoft, Amazon และ Tesla ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมและเศรษฐกิจโลก ซึ่ง อุตสาหกรรมในประเทศไทยเราจะไม่มีหุ้นเหล่านี้เหมือนประเทศสหรัฐอเมริกา

ผลตอบแทนระยะยาว

ตลาดหุ้นเมกา เติบโต ปีละ 8-10 % ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่สูงมากจากผลตอบแทนทั้งตลาด ถ้าเทียบกับตลาดบ้านเราทุกคนคงหงายหลังเพราะการเติบโตของหุ้นไทยประมาณ 11.5% ตลอดระยะเวลา 10 ปี ซึ่งเฉลี่ยแล้วเท่ากับการเติบโตประมาณ 1.1% ต่อปี

ยิ่งเราสามารถเลือกหุ้นได้ถูกตัวโอกาสเติบโตยิ่งมาก ยกตัวอย่าง ถ้าเราซื้อหุ้น อย่าง Apple ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2014-2024) หุ้นของ Apple Inc. (AAPL) มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ประมาณ 20.5%

มาตรฐานความโปร่งใสสูง

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) กำหนดกฎระเบียบที่เข้มงวดสำหรับบริษัทในตลาด ทำให้นักลงทุนได้รับข้อมูลทางการเงินที่น่าเชื่อถือ และมีมาตรการจัดการที่ชัดเจนและมีบทลงโทษสำหรับคนที่ทำความผิดได้ดี จึงทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นในตลาดหุ้นอเมริกา

ทีนี้เราก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหุ้นอเมริกาถึงน่าลงทุนขนาดนี้ สำหรับมือใหม่คงเข้าใจครบถ้วนแล้ว แต่สำหรับคนที่เคยลงทุนกับหุ้นไทยคง อยากรู้ข้อแตกต่างของหุ้นไทยกับหุ้นอเมริกาแล้ว

ข้อแตกต่าง

เข้าใจภาพความแตกต่างของตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกากันอย่างครบถ้วนเลยหัวข้อหลักตามภาพจะมีดังนี้และแอดขอเสริมประเด็นสำคัญเข้าไปด้วย

- ช่วงราคา และ Spread Price
ราคาจะขยับต่างจากประเทศไทย 
- ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นๆลงๆในแต่ละวัน มีจำกัดเพดานไหม ต่างกันอย่างไร
Limit up Limit down ถ้าราคาขึ้นลงเกิน 15% จะหยุดทำการซื้อขาย 5 นาที
- หน่วยงานกำกับดูแล และคุ้มครองนักลงทุน
FINRA & SIPC คุ้มครองถึง 5 หมื่นเหรียญ

“อ่านข้อแตกต่างแบบละเอียด” คลิก ตลาดหุ้นอเมริกา ต่างกับ ตลาดหุ้นไทย อย่างไร ?

5 Step เริ่มลงทุนจาก 0 จนมีหุ้นตัวแรกในพอร์ต

1. เปิดบัญชี

ปัจจุบันการเปิดบัญชีหุ้นสหรัฐๆ ทำได้ง่ายและรวดเร็วมาก การเปิดบัญชีก็เหมือนเป็นก้าวแรกของการลงทุนจริงเมื่อเราศึกษาแล้วก็พร้อมที่จะลงทุนจริงได้จริง

ขออนุญาติขายของแปป ข้อดีของการเปิดบัญชีหุ้นต่างประเทศกับ Liberator คือ
(1) มีดำเนินการเรื่องภาษี W-8BEN ให้ ลดภาษีปันผลจากเดิม 30% เหลือ 15% ฟรี
(2) นักลงทุนมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้น ได้รับสิทธิประโยชน์โดยตรง เช่น เงินปันผล
(3) มีหน่วยงาน SIPC ช่วยคุ้มครองเงินลงทุนและหลักทรัพย์* คุ้มครองถึง 5 หมื่นดอลล่าห์กรณีเกิดเหตุกับนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์
(4) มีรายการและบทความให้ความรู้การลงทุนที่อเมริกาทุกวัน
(5) ที่สำคัญเทรดฟรี ไม่มีค่าคอมฯ ทุกวันที่ 21 ตลอดช่วงเวลาทำการของตลาด
(6) เปิดบัญชีครั้งแรกฟรีค่าคอม 1 เดือน

“ ทุกคนสามารถคลิกลิ้งค์ เพื่อเปิดบัญชีได้เลย ”  https://www.liberator.co.th/article/view/open-us

2. รู้จักสินทรัพย์

ETF (Exchange Traded Fund)

คือกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่มีลักษณะคล้าย กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) แต่มีจุดเด่นพิเศษที่สามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้เหมือนหุ้นรายตัว ETF มีนโยบายการลงทุนที่มุ่งเน้นติดตามหรือเลียนแบบผลตอบแทนของดัชนีชี้วัด (Benchmark Index) เช่น ดัชนีตลาดหุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์, หรือแม้แต่ตราสารหนี้

ข้อดี ETF
หลักๆเลยก็คือ ซื้อETF ตัวเดียวก็เหมือนเป็นการกระจายการลงทุนแล้วเพราะ ETF มีนโนบายให้ลงทุนให้ผลตอบแทนอ้างอิงเทียบเท่าดัชนี ลองคิดดูถ้าไม่มี ETF เราต้องซื้อหุ้นที่ตัวในกระดานซึ่งจะใช้เงินในจำนวนที่เยอะมาก

ดังนั้นการเลือกซื้อ ETF อ้างอิงดัชนีจึงตอบโจทย์มือใหม่มาก

ข้อเสีย ETF
ผลตอบแทนอาจไม่สูงเท่าหุ้นรายตัว: เนื่องจาก ETF ติดตามดัชนีหรือกลุ่มหุ้น
มีค่าธรรมเนียมในการบริหาร ถ้าเลือกผิดจะโดนทั้งค่าธรรมเนียม และราคาของ ETF ที่ลดลง
ขาดความเฉพาะเจาะจง: หากคุณต้องการลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ETF ไม่สามารถตอบโจทย์ได้

 

SECTOR หุ้น

หุ้นอเมริกา มี SECTOR หุ้นหลักๆอยู่ 11 SECTOR ดังนี้

Energy พลังงาน ประกอบไปด้วยอุตสาหกรรมที่ให้บริการสำรวจ จุดเจาะ ผลิตและกลั่นน้ำมันดิบ ก๊าชธรรมชาติ
ตัวอย่างหุ้น Exxon Mobil (XOM) , Schlumberger Limited (SLB) ,Chevron (CVX) , NOV Inc. (NOV)
.
Materials ประกอบไปด้วย อุตสากรรมผลิตสารเคมี ,ผลิตวัตถุก่อสร้าง , ผลิตบรรจุภัณฑ์ , ขุดเจาะและผลิตโลหะ รวมไปถึง ผลิตภัณฑ์จากไม้และกระดาษ
ตัวอย่างหุ้น Dow Inc. (DOW) , Vulcan Materials Company (VMC),Ball Corporation (BALL),Rio Tinto (RIO) ,International Paper Company (IP)
.
Industrials ผลิตเครื่องบิน วัสดุก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน เครื่องมือไฟฟ้า เครื่องจักร วัตถุดิบอุปกรณ์
ตัวอย่างหุ้น 3M Company (MMM) , Caterpillar Inc. (CAT) ,W.W. Grainger, Inc. (GWW),Waste Management, Inc. (WM)
.
Consumer Discretionary สินค้าอุปโภค บริโภค ที่ไม่จำเป็นของร่างกาย ยางรถยนต์ , รถยนต์ ,เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน , อุปกรณ์กีฬา , เครื่องประดับ
ตัวอย่างหุ้น Nike, Inc. (NKE) , Hasbro, Inc. (HAS) , Tesla, Inc. (TSLA) , Magna International Inc. (MGA) , Pool Corporation (POOL) , Home Depot, Inc. (HD)
.
Consumer Staples ปัจจัย 4 อาหาร , เครื่องดื่ม , ยา ,ผลิตภัณฑ์ยาสูบ , ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
ตัวอย่างหุ้น Estée Lauder Companies Inc. (EL) , Procter & Gamble Co. (PG) , MarlboroPhilip Morris International , The Coca-Cola Company (KO) , Walgreens Boots Alliance, Inc. (WBA)
.
Health Care ไบโอเทคโนโลยี, ยา ,ยาลดน้ำหนัก , เครื่องมือผ่าตัด, โรงพยาบาล , ระบบข้อมูลผู้ป่วย
ตัวอย่างหุ้น Medtronic plc (MDT) , UnitedHealth Group Incorporated (UNH) , Veeva Systems Inc. (VEEV) , Amgen Inc. (AMGN) , Johnson & Johnson (JNJ) , Thermo Fisher Scientific Inc. (TMO)
.
Financials ธนาคาร , ประกันชีวิต , บริการที่ปรึกษาทางการเงิน , สินเชื่อส่วนบุคคล , บริษัทหลักทรัพย์ , กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
ตัวอย่างหุ้น JPMorgan Chase & Co. (JPM) , Allstate Corporation (ALL) , Visa Inc. (V) , Synchrony Financial (SYF) , Goldman Sachs Group, Inc. (GS) , Annaly Capital Management, Inc. (NLY)
.
Information Technology ซอฟแวร์, ฮาร์ดแวร์ , เชมิคอนดักเตอร์ , Service ต่างๆ
ตัวอย่างหุ้น Accenture plc (ACN) , Microsoft Corporation (MSFT) , Cisco Systems, Inc. (CSCO) , Apple Inc. (AAPL) , Amphenol Corporation (APH) , NVIDIA Corporation (NVDA)
.
Communication Services การติดต่อสื่อสารทุกรูปแบบ , โทรทัศน์ , สื่อบรรเทิง ภาพยนต์ เพลง , เกมส์
ตัวอย่างหุ้น AT&T Inc. (T) , T-Mobile US Inc. (TMUS) , Comcast Corporation (CMCSA) , Netflix, Inc. (NFLX) , Alphabet Inc. (GOOGL) , Facebook, Inc. (META)
.
Utilities โรงไฟฟ้าต่างๆ , บริษัทจัดหาก๊าชธรรมชาติ , บำบัดและกำจัดน้ำเสีย
ตัวอย่างหุ้น NextEra Energy, Inc. (NEE) , Atmos Energy Corporation (ATO) , Consolidated Edison, Inc. (ED) , American Water Works Company Inc. (AWK) , Brookfield Renewable Partners L.P. (BEP)
.
Real Estate อสังหาริมทรัพย์ , ศูนย์การค้า , โกดังโรงงาน , โรงแรมรีสอร์ท , คอนโดมีเนียม , สถานดูแลผู้สูงอายุ
ตัวอย่างหุ้น W.P. Carey Inc. (WPC) , Prologis, Inc. (PLD) , Host Hotels & Resorts, Inc. (HST) , Boston Properties, Inc. (BXP) , Welltower Inc. (WELL) , Equity Residential (EQR) , Simon Property Group, Inc. (SPG)

ข้อดีของการดูหุ้นตาม SECTOR
- สามารถเลือกหุ้นตามธีมของโลกในอนาคตได้ อย่าง ธีม AI รถไฟฟ้า
- ไม่ต้องเลือกหุ้นผู้ชนะในกลุ่มได้ สามารถซื้อ ETF ของกลุ่มได้เลย
- กระจายความเสี่ยงกว่า การเลือกหุ้นตัวเดียว ที่เราคิดว่าเป็ฯหุ้นผู็ชนะแต่เราอาจจะเลือกผิด

ข้อเสีย
- ผลตอบแทนจะไม่ดีเท่าการเลือกหุ้นรายตัวอาจจะพลาดได้หุ้นผู้ชนะอย่าง NVDIA หรือ APPLE
- ต้องวิเคราะห์แนวโน้มอุตสาหกรรม ถ้าเราเลือกอุตสาหกรรมที่ไม่โต ก็มีความเสี่ยงท้ังด้านราคาและค่าธรรมเนียมการบริหารของ ETF

“ อ่าน sectors แบบละเอียด คลิก ” 🇺🇸 10 หุ้นเด่น จาก 74 อุตสาหกรรมในตลาดหุ้น US

หุ้นรายตัว (Individual Stocks)

ข้อดี
โอกาสทำกำไรสูง: หุ้นบางตัว เช่น Tesla หรือ Amazon ให้ผลตอบแทนสูงมากในระยะยาว
ความเฉพาะเจาะจง: หากคุณเชื่อมั่นในธุรกิจของบริษัท สามารถลงทุนในหุ้นตัวนั้นโดยตรง

ข้อเสีย
ความเสี่ยงสูง: หุ้นรายตัวอาจมีความผันผวนและได้รับผลกระทบจากปัจจัยเฉพาะบริษัท
ต้องใช้เวลาและความรู้: การวิเคราะห์งบการเงิน, พื้นฐานธุรกิจ, และแนวโน้มตลาดของบริษัท
ขาดการกระจายความเสี่ยง: หากบริษัทนั้นมีปัญหา คุณอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด

สำหรับใครที่มีหุ้นในใจแล้วแต่ก็ยังอยากหาข้อมูลเพิ่ม เราก็ได้รวบรวมเว็ปไซต์สำหรับใช้หาข้อมูลหุ้นอเมริกามาให้แล้ว

เว็บไซต์รวบรวมข้อมูลหุ้นอเมริกา

1. Finviz เว็บไซต์สรุปข้อมูลตลาด ดูว่าคนอื่นๆ ในชุมชนเขาคิดอะไรกับร้านอื่นๆ บ้าง

- Top Gainer / Top Loser
- อุตสาหกรรมไหนกำลังได้รับความสนใจ
- ใช้ค่อยๆ เลือกหุ้น เลือกกลุ่มที่สนใจทำการบ้านได้

2. ETF DB เว็บไซต์สรุปข้อมูลกองทุน ETF เว็บนี้จะรวบรวมข้อมูล

คนกำลังชอบกองทุนที่ลงทุนในร้านแบบไหน
- กองทุนนั้นเลือกหุ้นร้านไหนเข้าพอร์ตบ้าง (อย่างน้อยร้านนั้นก็ต้องมีความแข็งแกร่งพอ)

https://etfdb.com/

.

3. Finchat.io เว็บไซต์ที่ใช้เทคโนโลยี AI รวบรวมและสรุปข้อมูลการเงินภายในบริษัทและจากนอกตลาด

-ข้อมูลยอดขาย เงินลงทุนย้อนหลัง
- รายงานต่างๆ โดยตรงจากบริษัท
- เงินปันผลของบริษัท ร้านกาแฟเคยแบ่งกำไรให้คนลงทุนไหม
- มุมมองของนักลงทุนรายใหญ่ กองทุน

4. Dataroma นักลงทุนรายใหญ่ คนมีเงินเยอะมากๆ เขากำลังลงทุนในร้านอะไรอยู่

- ข้อมูล Superinvestor หรือนักลงทุนรายใหญ่
- นักลงทุนรายใหญ่เขาซื้อ-ขายหุ้นของร้านอะไรอยู่

“สำหรับใครที่อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก ”เริ่มต้นลงทุนหุ้นสหรัฐอเมริกา หาข้อมูลจากไหน?

 

ได้ศึกษาหาความรู้กันมาแล้วทีนี้หลายคนคงอยาก เอาความรู้ที่ตัวเองหามาใช้ซื้อขายกันแล้ว แต่ใจเย็นก่อนๆ วันนี้เราได้รวบรวมวิธีการลงุทน และการเลือกหุ้นให้เหมาะกับตัวเองมาให้ “มือใหม่ที่ไม่เคยลงทุน” ได้เรียนรู้และนำไปปรับใช้กันอีกเพียบ

 

3 เริ่มต้นลงทุนยังไง

เรามาถึงขั้นตอนการเริ่มลงทุนกันละ บางคนเปิดดูกราฟแล้วเห็นราคาหุ้นก็ตกใจ บางตัวราคาหลายแสน
เห็นแล้วแทบเป็นลมไม่รู้จะหาเงินจากไหนมาซื้อ “แต่ช้าก่อน” เพราะหุ้นเมกาเราสามารถซื้อหุ้น เริ่มต้นได้ที่ 1 ดอลลาร์
หรือที่เรียกกันว่า “ การซื้อขายแบบเศษหุ้น (Fractional Shares) ” ซึ่งจะต่างกับ ตลาดหุ้นไทยที่ต้องซื้อขั้นต่ำ 100 หุ้น 

“อ่านวิธีซื้อขาย แบบละเอียด คลิก ” ซื้อ-ขายหุ้นสหรัฐอเมริกาบนแอป Liberator ทำอย่างไร?

 

4.เลือกหุ้นยังไง ให้เหมาะกับตัวเอง

3 วิธีการลงทุนสำหรับคนพึ่งเริ่มต้น ตั้งแต่เสี่ยงน้อยไปถึงเสี่ยงมากเลย
.
ETFs : Most simple & effective. Best risk-reward ratio.
Mega Cap (M7) : Ride the winners.
Mid/Small Cap : Find multibaggers. Highest risk. Most fun.

กลยุทธ์ ข้อดี เหมาะกับใคร ระดับความเสี่ยง
ETSs ง่าย กระจายความเสี่ยง  มือใหม่ ต่ำถึงปานกลาง
Mega Cap (M7) ลงทุนในหุ้นใหญ่ เติบโตมั่นคง นักลงทุนที่เริ่มมีประสบการณ์ ปานกลาง
Mid/Small Cap ผลตอบแทนสูง คนที่มีประสบการณ์ สูง
 
ทีนี้เราก็รู้แล้วว่าตัวเราเหมาะกับสินทรัพย์ประเภทไหน ขั้นตอนต่อจากนี้เตรียมสมุดจดกันให้ดีๆ
ขั้นตอนการเลือกหุ้นรายตัวและการบริหาร ETFs

INDEX ETFs Strategies

DCA regular or tactical

DCA แบบ regular คือ วิธีการลงทุนที่กำหนดจำนวนเงินเท่ากันในแต่ละช่วงเวลา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในตลาด
ข้อดีคือ จะมีกฏการลงทุน ที่ชัดเจนไม่หวั่นไหวกับทิศทางของตลาด ทำได้ง่ายและทำแบบสม่ำเสมอได้

DCA แบบ tactical คือ วิธีการปรับจำนวนเงินลงทุนตามสภาวะตลาด เช่น ลงทุนเพิ่มในช่วงตลาดตก หรือชะลอการลงทุนในช่วงตลาดขึ้นสูง  ข้อดีเลยคือ มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น และมีความยืดหยุ่นมากกว่า

.
เอาใจคนที่ดูกราฟไม่เป็น สามารถใช้ดัชนี Fear and Greed Index ได้

Fear and Greed Index คือดัชนีที่จัดทำโดย CNN เพื่อวัดอารมณ์ของนักลงทุนโดยใช้ข้อมูล 7 ตัวชี้วัด คือ ความผันผวนในตลาด, อัตราผลตอบแทนของพันธบัตร, และปริมาณการซื้อขาย ดัชนีนี้แบ่งออกเป็นสองสถานะหลัก:

 

  • Fear (ความกลัว): ชี้ว่านักลงทุนมีความกังวลและหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
  • Greed (ความโลภ): ชี้ว่านักลงทุนมั่นใจและกล้ารับความเสี่ยงมากขึ้น “

 

        คำแนะนำ ถ้าช่วงไหนสัญญาณ Fear ลงมาต่ำ 10 อย่างช่วง โควิท เราอาจจะ DCA เพิ่มจาก เดือนละ 1,000 บาท อาจจะเป็นเดือนละ 2,000 บาท 

 

Portfolio rebalance 60/40
ตัวอย่างง่ายๆ คือ ตั้ง 100 - อายุเรา สมมุติอายุ 30 เราก็ถือ Fixed income 30% หุ้น 70% ผ่านไปครึ่งปีปรับพอร์ต พยายามคงพอร์ตใว้ ถ้าช่วงไหนหุ้นขึ้นก็ปรับหุ้นออกแล้วมาซื้อสินทรัพย์อื่น ซึ่งเราจะปรับสัดส่วนของสินทรัพย์เราได้เพิ่มเติมจากความเสี่ยงที่เรารับได้
.

Mega Cap (M7) Strategies

ลงทุนกับผู้นำ Magnificent Seven = MSFT,AAPL,AMZN,GOOGL,META,NVDA,TSLA
.
ข้อดี
เหตุผล เราเชื่อว่ามันจะมีการเปลี่ยนยุค ยกตัวอย่างสมัยก่อนที่มือถือเริ่มเข้ามา Nokia BB และเริ่มมายุคอินเตอร์ ที่มีหลาย เว็ปไซต์ให้เราเลือกใช้ จนเหลือผู้ชนะแค่ 2 -3 ตัว
.
จนตอนนี้ก้าวเข้าสู่ยุคของ AI ถ้าความเชื่อนี้เป็นจริงจะส่งผลต่อการลงทุนเราเยอะมาก
Winner Take Most บริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้มีศักยภาพหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านเงินทุน, ด้านข้อมูล , ด้านผู้เชี่ยวชาญ (บริษัทรับคนจากมหาลัยดังๆ) , MOATs

.

ข้อเสีย
เรื่องรัฐบาล เพราะเวลาเป็นหุ้นใหญ่ ความเสี่ยงจากด้านอื่นๆ ค่อนข้างน้อยแล้ว (B2C จะเสี่ยงมากกว่า B2B ) ยกตัวอย่าง Facebook กับ Microsoft

 

ผู้คนใช้โชเชี่ยลมีเดียในการดำเนินชีวิต ถ้าเกิดวันใดวันหนึ่งรัฐเกิดแบน หรือมีกฏข้อห้ามเช่นเด็กต่ำกว่า 15 ไม่ให้เล่น แบบนี้Facebookอาจจะได้รับผลกระทบ

 

อย่าง Microsoft จะมีความเสี่ยงเรื่องรัฐน้อยกว่าเพราะเป็นคนขายระบบ ปฎิบัติการไม่ได้พุ่งตรงไปหา ผู้ใช้โดยตรง

 

market share เยอะจะมีความเสี่ยง เพราะ รัฐบาลอาจจะออกกฏไม่ให้บริษัทใหญ่ซื้อบริษัทอื่นเข้ามาเพิ่ม ถ้าอยากโตต้องโตด้วยโตเอง ซึ่งทางประเทศเค้าค่อนข้างจะเข้มงวดกับเรื่องนี้

Mid/Small Cap Strategies

มีงานวิจัยในช่วง 2015 - 2020 ที่หุ้นปรับตัวขึ้นกันอย่างมาก ควรดูอะไรบ้าง เพื่อให้ได้หุ้นที่ให้ผลตอบแทน ถึง 100 เท่า

 

เลือกหุ้นที่อยู่ในตลาดต่างประเทศ (International market) ซึ่งข้อนี้เรารู้กันดี และเน้นหุ้นที่มูลค่า ต่ำกว่า 10 ล้านดอลล่าร์ นอกจากนั้นยังเลือกหุ้นที่มีโอกาสใหม่ๆ เข้ามา ไม่ว่าจะเป็น การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ , มีข่าวใหม่ๆเข้า , หรือมีความต้องการสินค้าจากบริษัทนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก เช่นตอนโควิท ที่ถุงมือยางขายดีมาก

 

ซึ่งไม่ใช่ว่าหุ้นเล็กทุกตัวจะสำเร็จได้ หุ้นพวกนี้เป็นหุ้นที่เข้มแข็งอยู่แล้ว ทั้งในด้านสินค้า ด้านผลิต คุมต้นทุนต่ำ สินค้าขายดี และเป็นธุรกิจที่คู่แข่งเข้ามายากและการเงินมั่นคง มี พื้นที่ให้ Margin โตถ้าเทียบกับเบอร์1 แล้วเราจะโตยังไง

 

CEO มีผลอย่างมากกับบริษัทยิ่งหุ้นเล็กยิ่งต้องดูละเอียด ต้องมีจุดแตกต่างจากธุรกิจอื่น ทั้งด้าน Business Model และการจับกลุ่มลูกค้า

 

ข้อสำคัญเลย ราคาหุ้นยังไม่แพง P/E ไม่เกิน 30เท่า ส่วนใหญ่มี 3 กลุ่ม , กลุ่มHealth care , กลุ่มเทคโนโลยี , กลุ่มสินค้า อุปโภคบริโภค

 

สรุป: เลือก ETF หากต้องการความเรียบง่ายและมั่นคง, Mega Cap หากต้องการเติบโตไปกับหุ้นใหญ่, และ Mid/Small Cap สำหรับนักล่าหุ้นเติบโตสูงที่พร้อมรับความเสี่ยง!

 

“ถ้าใครอยากเรียนแบบครบเจาะลึกก็เข้าไปเรียนได้เลยที่ลิ้งค์นี้”
ตามล่าหาขุมทรัพย์ทั่วโลก ออกแบบกลยุทธ์ลงทุนหุ้นต่างประเทศ - Liberator

 

กลยุทธ์การเลือกหุ้นรายตัว

เวลาเรามองธุรกิจอยากให้เรามอง ใน Phase ที่ต่างกันเราจะมองธุกิจได้ลึกขึ้น ซึ่งถ้าเทียบหุ้นไทย กับหุ้นเมกา นั้น
หุ้นไทยตอนนี้ อยู่ในช่วง Maturity - Decline ส่วนหุ้นต่างประเทศ ยังอยู่ในช่วง Launch ยังสามารถเติบโตได้อีก

 

R&D Phase (การวิจัยและพัฒนา)
ช่วงนี้เปรียบเหมือนกับการวางรากฐานของบ้าน คุณยังไม่เห็นตัวบ้านด้วยซ้ำ สิ่งที่มีคือไอเดีย แนวคิด ในช่วงนี้เต็มไปด้วยความเสี่ยง บริษัทไม่มีรายได้ เน้นพัฒนา เราวัดมูลค่าด้วย ด้วยความคาดหวัง ให้เราคิดถึง คิดถึงสตาร์ทอัพในโรงรถ Apple ในช่วงเริ่มต้น
.
Launch Phase (ช่วงเปิดตัว)
นี่คือช่วงที่บ้านเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เหมือนบริษัทที่เพิ่งเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ทุกอย่างดูสดใส รายได้เริ่มเข้ามา แต่ยังไม่มีกำไร บริษัทเริ่ม "มีตัวตน" ในโลกธุรกิจ เราใช้ Price to Sales Ratio (P/S) ในการวัด เพราะรายได้คือสิ่งที่สะท้อนความสำเร็จของช่วงนี้ ให้คิดถึงช่วงแรกของ Tesla ที่ยังขาดทุน แต่รถไฟฟ้าของเขาเริ่มกลายเป็นที่รู้จัก
.
Hyper Growth Phase (ช่วงการเติบโตสูง)
ช่วงนี้คือจุดที่บริษัทเหมือนติดจรวด ทุกอย่างเติบโตเร็วแบบก้าวกระโดด รายได้เพิ่มขึ้น กำไรเริ่มมองเห็นชัด บริษัทถึงจุดคุ้มทุน (Break-even) และเริ่มสร้างกำไรให้เห็น ช่วงนี้เราใช้ Price to Gross Profit Ratio ในการวัดเพราะ กำไรขั้นต้นยิ่งสูง บริษัทยิ่งสามารถเติบโตได้เร็ว ให้เราคิดถึง Amazon ในยุคที่กำไรยังน้อย แต่ยอดขายโตเป็นเท่าตัวทุกปี
.
Maturity Phase (ช่วงอิ่มตัว)
นี่คือช่วงที่บ้านสร้างเสร็จแล้ว เจ้าของบ้านเริ่มเก็บค่าเช่าได้ บริษัทเติบโตเต็มที่ รายได้และกำไรค่อนข้างคงที่ เราใช้ Price to Earnings Ratio (P/E) ในการวัดเพราะ เราอยากรู้ว่า "กำไร" ที่บริษัททำได้จริงนั้น คุ้มค่ากับราคาหุ้นหรือไม่
ให้เราคิดถึง Coca-Cola หรือ Apple ในวันนี้ที่เป็นยักษ์ใหญ่ที่รายได้คงที่
.
Decline Phase (ช่วงโรยรา)
บริษัทเริ่มเข้าสู่ช่วงที่ไม่สามารถเติบโตได้แล้ว ซึ่งอยากให้เราหลีกเลี่ยงหุ้นใน Phase ให้คิดถึงบริษัทที่เคยยิ่งใหญ่ เช่น Kodak หรือ Nokia ถ้าไม่มีการปรับตัวบริษัทจะค่อยๆหายไปจากการโดนแทนที่โดยบริษัทที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ

 


เครดิต ข้อมูลจากหนังสือ one up on wall street

 

SLOW GROWERS (เติบโตช้า)
นึกถึงบริษัทอย่างไฟฟ้า น้ำประปา ที่ไม่ค่อยเติบโตหวือหวาแต่มีความมั่นคงในด้านของรายได้และชอบจ่ายปันผล
การเติบโต: 1 หลัก (ต่ำกว่า 10%) แนะนำให้ขายถ้าราคาหุ้นขึ้นมา 30%-50% หรือตอนพื้นฐานธุรกิจเริ่มเปลี่ยน
.
STALWARTS (หุ้นมั่นคง)
นึกถึงบริษัทอย่าง Coca - Cola หรือ Nestle เป็นหุ้นที่แข็งแกร่งให้ความมั่นคงแม้ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยเพราะเป็นหุ้น สินค้าอุปโภค บริโภค ในชีวิตประจำวัน ถ้าได้กำไร 50 % ใน 2 ปี ถือว่าสูงมาก เพราะหุ้นกลุ่มนี้ ราคามักอยู่ในค่าเฉลี่ย
.
FAST GROWERS (เติบโตเร็ว)
นึกถึงบริษัทอย่าง Tesla , NVDIA เป็นหุ้นที่เติบโตสูงมากและบริษัทยังมีการลงทุนต่อเนื่อง ซึ่งเติบโตได้ 20 - 30 %
ควรระวังเมื่อบริษัท เริ่มชะละการเติบโต และ หากอัตราส่วน P/L (ราคาต่อกำไร) สูงอย่างไม่มีเหตุผล พร้อมทั้งช่วงนั้นสื่อเริ่มมีข่าวเกี่ยวกับ CEO มากขึ้นหรือวอลล์สตรีทปรับเป้าหมายราคาขึ้นเรื่อย ๆ ให้พิจารณาขาย
.
CYCLICALS (หุ้นวัฏจักร)
นึกถึงธุรกิจอย่าง น้ำมัน เรือ สายการบิน ที่ธุรกิจจะขึ้นอยู่กับวัฎจักรเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีความผันผวน แนะนำให้ซื้อเมื่อช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว เช่นช่วงหลังโควิท ราคาขายเมื่อเศรษฐกิจเติบโตแบบพีคมากๆ
.
ASSET PLAYS (หุ้นที่มีทรัพย์สินซ่อนค่า)
ทรัพย์สินที่มีมูลค่า เช่น เงินสด อสังหาริมทรัพย์ แร่ สิทธิบัตร เครดิต
มักถูกมองข้ามโดยนักวิเคราะห์ เวลาที่ควรขาย:เมื่อมีผู้ซื้อรายใหม่เข้ามา เช่น นักลงทุนรายใหญ่ที่เห็นคุณค่าของทรัพย์สินซ่อนเร้น
.
TURNAROUNDS (หุ้นฟื้นตัว)
หุ้นบริษัทที่มีข่าวแย่ๆ งบแย่เจอเหตุการณ์วิกฤต แต่บริษัทสามารถแก้ไขปัญหาได้ ถ้าเราเห็นศักยภาพของบริษัทตรงนี้อาจจะได้หุ้นในราคาที่อยู่จุดต่ำ

 

ภาพรวม Cooperate life cycle กับ ลักษณะของหุ้นแต่ละแบบซึ่ง
ถ้าเราสามารถเลือกหุ้นที่มีศักพภาพเติบโตสูงและ อุตสาหกรรมก็อยู่ในช่วงเติบโต เหมือน NVDIA ในช่วงที่ผ่านมา
.
นักลงทุนชื่อดังระดับโลก Warren Buffett ชอบซื้อหุ้นที่เติบโตแล้วและแข็งแกร่งแล้ว อย่างหุ้น Apple ซึ่งการเปรียบให้อุตสาหกรรมก็เป็นอุตสากรรมที่ค่อยๆโตอย่างมั่นคง การที่จะทำให้เติบโ๖อย่างรวดเร็ว จะต้องมีนวัตกรรมใหม่ๆ หรือ ภาพของการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไปจริงๆ บริษัทในกลุ่มนี้ถึงจะโตได้มากขึ้น

 

5. ติดตามผลและปรับพอร์ต

เมื่อเราวางแผนการลงทุนมาแล้วเราก็ควรทำตามแผน ศึกษาหุ้นที่เราเลือกอยู่สม่ำเสมอ ติดตามผลประกอบการ ว่าช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง ในอนาคตบริษัทมีแผนจะลงทุนกับอะไรเพิ่มไหม มีปัจจัยไหนที่จะทำให้บริษัทเติบโตหรือไม่
.
นอกจากปัจจัยการเติบโตแล้ว ก็ยังมีเรื่องความเสี่ยง เช่นบริษัทอาจจะมีปัจจัยที่ทำให้บริษัท ขาดทุนหรือผลกำไรตกต่ำจนทำให้ราคาหุ้นลดลง ตัวอย่างเลย กรณี Facebook ที่ลงทุนใน Metaverse แล้วให้ผลไม่ดีเท่าที่ควรและยังมีปัจจัยลบอื่นๆ มาเสริมอีกทำให้ราคาหุ้นลดลง แต่ถ้าใครสามารถมองว่าปัจจัยที่กระทบนี้เป็นแค่ปัจจัยระยะสั้น ก็จะสามารถซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นได้
.
เมื่อเราตัดสินใจลงทุนระยะยาว สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ การปรับพอร์ต (Portfolio Rebalancing) เพื่อให้พอร์ตการลงทุนมีความสมดุลและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้สูงสุด โดยเฉพาะเมื่อมีหุ้นบางตัวที่ราคาพุ่งสูงเกินไป และบางตัวที่ราคายังต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น

.

ตัวอย่าง นาย LIB เริ่มต้นลงทุนด้วยเงิน 1 ล้านบาท โดยแบ่งเงินลงทุนในหุ้น 10 ตัว ตัวละ 1 แสนบาท และมีนโยบายการปรับพอร์ตดังนี้:

 

  1. เมื่อหุ้นใดมีกำไรเกิน 30%:
    • นาย LIB จะขายหุ้นตัวนั้นออกเพื่อล็อกกำไร
    • เช่น หุ้น A ซื้อมา 100,000 บาท และราคาขึ้นมาเป็น 130,000 บาท → ขายทำกำไร 30,000 บาท
  2. นำกำไรที่ได้ไปซื้อหุ้นที่ยังราคาถูก:
    • หุ้นที่ราคายังต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน หรือยังไม่ขึ้นตามศักยภาพ
    • เช่น หุ้น B ราคายังอยู่ที่ 90,000 บาท และมีโอกาสเติบโตในอนาคต

.

ผลลัพธ์:

  • พอร์ตการลงทุนจะได้รับกำไรจากหุ้นที่ขึ้นสูงเกิน 30%
  • เพิ่มโอกาสทำกำไรในหุ้นที่ราคายังไม่ปรับตัวสูง

 

ภาษีจากการลงทุนหุ้นอเมริกา

สำหรับที่อเมริกาเราจะมีภาษี 2 ส่วน คือ ภาษีจากการขายหุ้นแล้วได้กำไร (Capital Gain tax) และ ภาษีหัก ณ ที่จ่ายของเงินปันผล (Withholding Tax) มาดูกันทีละส่วนครับ

 

ภาษี Capital Gain Tax ในอเมริกา คนไทยไม่ต้องเสีย

อ้างอิงจาก IRS (กรมสรรพากรของสหรัฐอเมริกา) ถ้าเรามีกำไรสุทธิจากการขายหุ้น (Capital gain) ไม่ว่าจะถือหุ้นนั้นสั้นๆ (น้อยกว่า 1 ปี) หรือถือยาว (นานกว่า 1 ปี) ตราบใดที่เราไม่ได้ไปอยู่ในสหรัฐอเมริกาเกิน 183 วันใน 1 ปี เราจะไม่ต้องเสียภาษี Capital Gain tax

.

(ในบทบัญญติของอเมริกา IRS จะเรียกชาวต่างชาติที่มีรายได้เกิดขึ้นในอเมริกาว่า NRA หรือ Non Resident alien)

.

ภาษี Dividend Withholding Tax ถูกหักไปก่อน แต่มี Liberator ช่วยเหลือ

สำหรับเงินปันผลจากบริษัทในอเมริกา โดยปกติเราจะถูกหักภาษี 30% จากเงินปันผล แต่เพราะทาง Liberator ได้ยื่นแบบฟอร์ม W-8BEN ซึ่งปกติมีค่าใช้จ่าย 2,000 บาท ต้องส่งทุกๆ 3 ปี แทนลูกค้าให้ฟรี ช่วยยืนยันว่าคนที่รับเงินปันผลก้อนนี้ไม่ใช่คนในประเทศอเมริกา ทำให้เราถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายสูงสุด 15% ของเงินปันผลเท่านั้น (บางบริษัทอาจหักน้อยกว่านี้ ถ้าทางบริษัทได้สิทธิ BOI ลงทุนตามที่รัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุน)

.

เราจะเริ่มเสียภาษีจากส่วนที่เป็นกำไรและนำรายได้กลับเข้ามาในประเทศ แต่ส่วนที่เราจะเสียภาษีนี้จะเริ่มคิดจากฐานรายได้ของเรา ตามของประเทศไทย ถ้ารายได้สุทธิ เราไม่ได้เกิน 150,000 บาท เราก็จะไม่เสียภาษีนั่นเอง

.

ตัวอย่าง รายได้ สุทธิทั้งปี เราได้ 100,000 บาท ได้กำไรจากหุ้นอเมริกาและนำรายได้กลับเข้ามา 50,000 บาท
รวมทั้งปีรายได้สุทธิ เราจะอยู่ที่ 150,000 เราก็จะไม่เสียภาษี

แต่ถ้าเกินส่วนนี้เราก็คิดภาษีเป็นขั้นบันได้ตามการเสียภาษีปกติ จะเห็นได้ว่าความจริง เราเสียภาษีจากการลงทุนต่างประเทศไม่ได้อยู่ในอัตราที่สูงเลย
.
ภาษีที่เราต้องจ่ายจริงๆ เวลาไปลงทุนหุ้นอเมริกา คือ ภาษีเงินปันผลที่อเมริกา และ ภาษีเงินได้เมื่อนำเงินกลับเข้ามาในไทย เท่านั้น
.
อยากให้เรามาโฟกัส ที่การเรียนรู้และลงทุนให้มีกำไรก่อน
“เรียนรู้เรื่องภาษีแบบเต็มที่คลิก” ภาษีลงทุนหุ้นอเมริกา: ง่ายกว่าที่คิด จ่ายนิดเดียว เพื่อโอกาสเติบโตที่ดีกว่า
.
ครบจบทุกประเด็นเลย ตั้งแต่การ เริ่มต้นศึกษาหาความรู้ วิธีซื้อขาย วิธีการหาแนวทางที่เหมาะกับตัวเอง กลยุทธ์การลงทุน การติดตามและปรับพอร์ต จนเราเริ่มมีกำไรแล้วมาจัดการกับภาษี
.
สำหรับใครที่ยังจำได้ไม่หมดก็แชร์เก็บไว้ได้นะ ตอนแอดเริ่มใหม่ ก็ใช้วิธีเซฟเก็บไว้ แล้วมองผ่านตาบ่อยๆบวกกับเริ่มต้นเข้ามาลงทุนจริงๆ สถานการณ์จะบังคับให้เราเริ่มจำได้มากขึ้นเอง55 และให้เราหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอีก เพราะยิ่งเรามีความรู้มากยิ่งมีโอกาสที่จะได้กำไรมาก
.
“ถ้าใครอยากเรียนเรื่องหุ้นเพิ่มเติมก็เข้าไปเรียนได้เลยที่ลิ้งค์นี้” https://academy.liberator.co.th/browse