กระจายความเสี่ยง เคล็ด(ไม่ลับ)การลงทุน แบบวอร์เรน บัฟเฟตต์
รู้จัก 12 จาก 67 บริษัทภายใต้การบริหารของ Berkshire Hathaway Inc. ที่ครอบคลุมอุตสหกรรมหลากหลายอย่างคาดไม่ถึง

ถ้าพูดถึงเรื่องการลงทุนที่ประสบความสำเร็จระดับตำนาน ชื่อของปู่ Warren Buffett และบริษัท Berkshire Hathaway ต้องติดโผแน่นอน!
.
หนึ่งในปัจจัยก็คือ เขาไม่ได้ลงทุนแบบเสี่ยงสุด ๆ กับหุ้นตัวเดียว แต่เลือกที่จะ "กระจายความเสี่ยง" ด้วยการลงทุนในธุรกิจที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม
.
::: นี่คือ 12 ธุรกิจในพอร์ตที่บอกได้เลยว่าหลากหลายสุด ครอบคลุมทุกด้านในชีวิตประจำวันพวกเราเลยทีเดียว :::
.
(1) BNSF Railway
รถไฟขนส่งสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา เหมือนเป็นหัวใจหลักของระบบโลจิสติกส์
.
(2) Benjamin Moore
แบรนด์สีและเคลือบผิวที่ช่างทาสีชอบใช้
.
(3) NetJets
ธุรกิจเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว ใครอยากบินแบบพรีเมียม เขาจัดให้!
.
(4) Business Wire
บริการกระจายข่าวสารองค์กร เหมือนตัวกลางที่ช่วยเผยแพร่ข่าวให้แบรนด์ต่าง ๆ
.
(5) Duracell
บริษัทแบตเตอรี่อันดับต้น ๆ ของโลก
.
(6) Fruit of the Loom
แบรนด์เสื้อผ้าและชุดชั้นในที่หลายคนต้องเคยใช้
.
(7) HomeServices of America
บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ช่วยคนซื้อขายบ้าน
.
8 Fechheimer
ผู้ผลิตเสื้อยูนิฟอร์ม ใส่แล้วเท่แบบทางการสุด ๆ
.
(9) Kraft Heinz
บริษัทอาหารและเครื่องปรุงที่ทุกครัวต้องมี
.
(10) Forest River
ผู้ผลิตรถบ้าน (RV) และรถพักผ่อน
.
(11) GEICO
บริษัทประกันรถยนต์ที่ใคร ๆ ก็ไว้ใจ
.
(12) Dairy Queen (DQ)
ร้านอาหารและของหวานที่หลายคนติดใจ
.
แล้วทำไมการกระจายการลงทุนถึงสำคัญ?
.
ลองนึกภาพคุณถือหุ้นบริษัทเดียว แล้ววันหนึ่งธุรกิจนั้นเกิดพังล่ะ? เงินหายเรียบเลยสิ! แต่ถ้าคุณลงทุนในหลาย ๆ ธุรกิจเหมือนที่ Berkshire Hathaway ทำ
.
ต่อให้บริษัทหนึ่งมีปัญหา ธุรกิจอื่นก็ยังทำเงินให้คุณได้ นี่แหละคือเหตุผลที่ช่วยให้พอร์ตคุณปู่ความแข็งแกร่ง
.
เราลองมาดู หลักการ Diversify Portfolio ที่นักลงทุนระดับโลกใช้งานอย่างแพร่หลายกัน
.

1. การกระจายในหลายอุตสาหกรรม (Sector Diversification)

  • หลักการ: ไม่ควรลงทุนในอุตสาหกรรมเดียว เช่น ถ้าคุณลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว หากอุตสาหกรรมนี้เจอปัญหา เงินคุณอาจเสี่ยงได้
  • ตัวอย่าง:
    • ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี (เช่น Apple, Microsoft)
    • เพิ่มหุ้นสินค้าอุปโภคบริโภค (เช่น Procter & Gamble)
    • กระจายไปยังพลังงาน (เช่น ExxonMobil) หรือสุขภาพ (เช่น Johnson & Johnson)

 

2. การกระจายทางภูมิศาสตร์ (Geographic Diversification)

  • หลักการ: ลงทุนในตลาดต่างประเทศเพื่อลดความเสี่ยงจากเศรษฐกิจประเทศเดียว
  • ตัวอย่าง:
    • ลงทุนในหุ้นสหรัฐ (S&P 500)
    • เพิ่มหุ้นยุโรป (เช่น Nestlé)
    • เสริมด้วยตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) เช่น อินเดียหรือจีน

 

3. การกระจายในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ (Asset Class Diversification)

  • หลักการ: อย่าถือแค่หุ้น แต่กระจายไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น พันธบัตร ทองคำ หรืออสังหาริมทรัพย์
  • ตัวอย่าง:
    • 50% หุ้น
    • 30% พันธบัตร (Bond)
    • 10% ทองคำ
    • 10% อสังหาริมทรัพย์

 

4. การลงทุนในกองทุน ETF หรือ Mutual Funds

  • หลักการ: ใช้กองทุนที่มีการกระจายการลงทุนในตัว เช่น กองทุน ETF ที่ติดตามดัชนีตลาด
  • ตัวอย่าง:
    • กองทุน S&P 500 ETF (SPY)
    • กองทุน Emerging Markets ETF (EEM)
    • กองทุน REITs (อสังหาริมทรัพย์)

 

5. การลงทุนตามแนวคิด All Weather Portfolio

  • หลักการ: พอร์ตที่ออกแบบมาให้รับมือได้ทุกสภาพตลาด โดย Ray Dalio นักลงทุนชื่อดังเป็นผู้พัฒนาหลักการนี้
  • ตัวอย่างการจัดสัดส่วน:
    • 30% หุ้น
    • 40% พันธบัตรระยะยาว
    • 15% พันธบัตรระยะสั้น
    • 7.5% ทองคำ
    • 7.5% สินค้าโภคภัณฑ์

 

6. การลงทุนในหุ้นปันผล (Dividend Stocks Diversification)

  • หลักการ: เลือกหุ้นที่ให้ปันผลดีจากหลายอุตสาหกรรมเพื่อสร้างรายได้ต่อเนื่อง
  • ตัวอย่าง:
    • หุ้นเทคโนโลยีปันผล (เช่น Microsoft)
    • หุ้นสุขภาพ (เช่น Pfizer)
    • หุ้นพลังงาน (เช่น Chevron)

 

7. ใช้หลัก 60/40 Portfolio (หุ้น 60% และพันธบัตร 40%)

  • หลักการ: พอร์ตแบบคลาสสิกที่ผสมหุ้นและพันธบัตร เพื่อความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน
  • ตัวอย่าง:
    • 60% ลงทุนในดัชนีหุ้น (เช่น S&P 500)
    • 40% ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล

 

8. การลงทุนในธุรกิจที่จับต้องได้ (Real Asset Diversification)

  • หลักการ: เพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าทางกายภาพ เช่น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ น้ำมัน
  • ตัวอย่าง:
    • อสังหาริมทรัพย์ (REITs หรือบ้านให้เช่า)
    • ทองคำ (Gold ETF หรือทองคำแท่ง)
    • สินค้าโภคภัณฑ์ (เช่น น้ำมัน, ข้าวโพด)

 

9. ใช้กลยุทธ์ Dollar-Cost Averaging (DCA)

  • หลักการ: ลงทุนในสินทรัพย์เดิมอย่างต่อเนื่อง ไม่สนใจว่าราคาขึ้นหรือลง
  • ตัวอย่าง:
    • ซื้อ S&P 500 ETF ทุกเดือนในจำนวนเงินเท่ากัน

ซึ่งจริงๆแล้วการ Diversify Portfolio ไม่ใช่แค่การลดความเสี่ยง แต่ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนระยะยาว แค่จำไว้ว่า “อย่าใส่ไข่ทุกฟองในตะกร้าใบเดียว” และเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะกับเป้าหมายและความเสี่ยงของตัวคุณเอง!

======================================

🌎 🗽 ขยายโอกาสการลงทุนในบริษัทศักยภาพทั่วโลกไปกับ Liberator เพียงมีบัญชีหุ้นสหรัฐอเมริกากับค่าคอมสุดคุ้ม และ สิทธิประโยชน์มากมาย กิจกรรมคอมมูนิตี้หลากหลาย เข้าใช้งานคลังความรู้ออนไลน์ เปิดบัญชีง่ายๆ *ใต้คอมเมนต์*
 
💡 รู้หรือไม่ : ไม่เพียงแต่หุ้นสหรัฐอเมริกาแต่เพื่อนๆยังสามารถลงทุนในบริษัทจากประเทศอื่นๆที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ รวมแล้วกว่า 8,000 ตัว ได้เช่นกัน

เปิดบัญชีหุ้นสหรัฐอเมริกากับ Liberator 🇺🇸

✅
 หากมีบัญชีกับ Liberator แล้ว
1) Login เข้าแอป
2) เลือกเมนู "You" ➡️ เลือก "Open Account US Stock" ทำตามขั้นตอนง่ายๆเพียง 3 ขั้นตอนเท่านั้น
.
✅ ไม่เคยมีบัญชีกับ Liberator มาก่อน
2) สมัครเปิดบัญชี
3) มีบัญชีแล้ว ➡️ Login เข้าแอป ➡️ เลือกเมนู "You" ➡️ เลือก "Open Account US Stock" ทำตามขั้นตอนง่ายๆเพียง 3 ขั้นตอนเท่านั้น
.
อ่านคู่มือ :