บทความ LIB Learn เดิม
ข้อคิดการลงทุนแบบวีไอจาก นักลงทุน 'Dhandho - Mohnish Pabrai'
Written by : #BillionaireVI x #Liberator
Mohnish คือนักลงทุนวีไอชื่อดังจากประเทศอินเดีย และเป็นผู้แต่งหนังสือชื่อดังแนววีไอ Dhandho Investor ผมขอสรุปข้อคิดดีๆในการลงทุนดังนี้
1.ธุรกิจที่เป็นแบบ Scale Economy and Share น่าสนใจในการลงทุนมาก เพราะมี Operating Leverage และมีประสิทธิภาพในการบริหารงานจึงทำให้กำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ธุรกิจอย่าง Mastercard เก็บค่าใช้แพลตฟอร์มการจ่ายเงิน ต้นทุนหลักๆมีแค่เพียงค่า Servers และไอที ทำให้เมื่อมีผู้ใช้งานมากขึ้นบริษัทจึงมีกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม Mohnish มองว่าธุรกิจของ Mastercard ยังขาดการแชร์กำไรกลับไปที่ลูกค้า จึงยังไม่สมบูรณ์แบบ
ธุรกิจที่ตรงตามสเปคคือ Costco ที่ธุรกิจสามารถสเกลได้ด้วยการขยายสาขาและมีการ Mark Up มาร์จิ้นสูงสุดแค่ 15% เพื่อให้ส่วนลดกลับไปที่ลูกค้า
Costco จึงไม่ได้เป็นแค่ธุรกิจรีเทลแต่เป็นตัวกลางในการซื้อสินค้าและแชร์ผลประโยชน์กลับไปให้ลูกค้าด้วยการให้ส่วนลดมากกว่าที่อื่น
2.ไม่สนใจภาพใหญ่ของเศรษฐกิจ (Macro Economy) แต่เน้นคุณภาพของธุรกิจ นักลงทุนต้องเข้าใจว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้าบริษัทจะเป็นอย่างไร ยังอยู่รอดไหม กระแสเงินสดจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไหม
3.อย่าลงทุนในหุ้นจำนวนมากตัวเกินไป เช่น 20-30 ตัว เพราะโอกาสที่จะเข้าใจธุรกิจมีน้อยมาก แนะนำถ้าพอร์ตยังเล็ก ให้ลงทุนในหุ้นอย่างน้อย 4 ตัว ให้โฟกัสในธุรกิจที่เราเข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจธุรกิจดีพอ แนะนำให้ลงทุนในกองทุนดัชนี
4.ถ้าธุรกิจโดนปัจจัยลบเข้ามากระทบอย่างหนัก แต่ธุรกิจมีการจัดสรรเงินทุนที่ยอดเยี่ยม มีงบการเงินที่แข็งแกร่ง อยู่ได้ในหนึ่งถึงสองปีอย่างสบาย และมีโมเดลธุรกิจที่ดี แนะนำให้ถือหุ้นต่อไปในฐานะเจ้าของกิจการ
5. การลงทุนในธุรกิจที่ดีสุดๆอาจจะไม่ใช่การลงทุนที่ยอดเยี่ยม ในขณะที่การลงทุนในบริษัทที่ไม่ดีมาก อาจจะเป็นการลงทุนที่ดีเยี่ยมก็ได้
ปกติแล้วบริษัทที่ดีมากๆและมีคูเมืองแข็งแกร่ง อาจจะไม่ใช่การลงทุนที่ดีเพราะว่าทุกคนรู้กันหมดแล้ว ทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น โอกาสทำกำไรได้น้อย
6.ในช่วงชีวิตนักลงทุน 50 ปี คุณไม่ต้องขวนขวายที่จะเป็นผู้ชนะในหุ้นหลายหลายตัว Mohnish เชื่อว่าเราสามารถเป็นผู้ชนะได้จากการเลือกหุ้นที่คิดว่าดีที่สุดและถือมันเป็นเวลานาน ตัวอย่างเช่น บริษัท Naspers ได้ลงทุนในหุ้น Tencent ตั้งแต่ปี 2001 ด้วยเงินจำนวน $32 ล้านและถือมาเรื่อยๆโดยไม่เคยขายจนปี 2018
สามารถสร้างผลตอบแทนได้เกือบ 8,000 เท่าเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นการที่คุณจะเป็นผู้ชนะคุณต้องเลือกหุ้นให้ถูกต้องและอยู่กับมันให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
นอกจากนี้ Walmart ซึ่งก่อตั้งในปี 1970 หรือกว่า 51 ปีแล้ว เชื่อหรือไม่ว่าครอบครัวของ Walmart ไม่มีใครเคยขายหุ้นออกมาเลย ตั้งแต่ Sam Walton ผู้ก่อตั้งจนถึงรุ่นลูกและรุ่นหลาน ถือไว้โดยไม่ได้ขายแต่ได้รับเงินปันผลทุกปี ทุกวันนี้ตระกูล Walton ติดอันดับเศรษฐีกันหลายคนเลยทีเดียว
7.Mohnish แนะนำให้ซื้อหุ้นในจุดที่เรียกว่า No-brainer หรือจุดที่ซื้อโดยไม่ต้องคิดอะไร เช่นช่วงตอนเกิดโควิด หุ้นดีๆราคาลดลงมาถูกมาก จุดนั้นคือจุดที่ซื้อหุ้นได้ เพราะเรามั่นใจแล้วว่ายังไงก็ไม่ขาดทุนถ้าถือหุ้นยาวๆ
8.เขาแนะนำให้ลงทุนในบริษัทตอนที่มันยังเล็กอยู่เนื่องจากมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ แต่สิ่งที่สำคัญมากก็คือ เราจะลดความเสี่ยงของหุ้นเหล่านั้นได้อย่างไรบ้าง เขาแนะนำว่าให้ดูที่ผู้บริหารเพราะจะมีบทบาทมากในการขับเคลื่อนธุรกิจและวัฒนธรรมขององค์กร
ผมหวังว่าทุกท่านน่าจะได้แนวคิดดีๆในการลงทุนจากนักลงทุนระดับโลกกันครับ
22.02.2023
Mohnish คือนักลงทุนวีไอชื่อดังจากประเทศอินเดีย และเป็นผู้แต่งหนังสือชื่อดังแนววีไอ Dhandho Investor ผมขอสรุปข้อคิดดีๆในการลงทุนดังนี้
1.ธุรกิจที่เป็นแบบ Scale Economy and Share น่าสนใจในการลงทุนมาก เพราะมี Operating Leverage และมีประสิทธิภาพในการบริหารงานจึงทำให้กำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ธุรกิจอย่าง Mastercard เก็บค่าใช้แพลตฟอร์มการจ่ายเงิน ต้นทุนหลักๆมีแค่เพียงค่า Servers และไอที ทำให้เมื่อมีผู้ใช้งานมากขึ้นบริษัทจึงมีกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม Mohnish มองว่าธุรกิจของ Mastercard ยังขาดการแชร์กำไรกลับไปที่ลูกค้า จึงยังไม่สมบูรณ์แบบ
ธุรกิจที่ตรงตามสเปคคือ Costco ที่ธุรกิจสามารถสเกลได้ด้วยการขยายสาขาและมีการ Mark Up มาร์จิ้นสูงสุดแค่ 15% เพื่อให้ส่วนลดกลับไปที่ลูกค้า
Costco จึงไม่ได้เป็นแค่ธุรกิจรีเทลแต่เป็นตัวกลางในการซื้อสินค้าและแชร์ผลประโยชน์กลับไปให้ลูกค้าด้วยการให้ส่วนลดมากกว่าที่อื่น
2.ไม่สนใจภาพใหญ่ของเศรษฐกิจ (Macro Economy) แต่เน้นคุณภาพของธุรกิจ นักลงทุนต้องเข้าใจว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้าบริษัทจะเป็นอย่างไร ยังอยู่รอดไหม กระแสเงินสดจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไหม
3.อย่าลงทุนในหุ้นจำนวนมากตัวเกินไป เช่น 20-30 ตัว เพราะโอกาสที่จะเข้าใจธุรกิจมีน้อยมาก แนะนำถ้าพอร์ตยังเล็ก ให้ลงทุนในหุ้นอย่างน้อย 4 ตัว ให้โฟกัสในธุรกิจที่เราเข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจธุรกิจดีพอ แนะนำให้ลงทุนในกองทุนดัชนี
4.ถ้าธุรกิจโดนปัจจัยลบเข้ามากระทบอย่างหนัก แต่ธุรกิจมีการจัดสรรเงินทุนที่ยอดเยี่ยม มีงบการเงินที่แข็งแกร่ง อยู่ได้ในหนึ่งถึงสองปีอย่างสบาย และมีโมเดลธุรกิจที่ดี แนะนำให้ถือหุ้นต่อไปในฐานะเจ้าของกิจการ
5. การลงทุนในธุรกิจที่ดีสุดๆอาจจะไม่ใช่การลงทุนที่ยอดเยี่ยม ในขณะที่การลงทุนในบริษัทที่ไม่ดีมาก อาจจะเป็นการลงทุนที่ดีเยี่ยมก็ได้
ปกติแล้วบริษัทที่ดีมากๆและมีคูเมืองแข็งแกร่ง อาจจะไม่ใช่การลงทุนที่ดีเพราะว่าทุกคนรู้กันหมดแล้ว ทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น โอกาสทำกำไรได้น้อย
6.ในช่วงชีวิตนักลงทุน 50 ปี คุณไม่ต้องขวนขวายที่จะเป็นผู้ชนะในหุ้นหลายหลายตัว Mohnish เชื่อว่าเราสามารถเป็นผู้ชนะได้จากการเลือกหุ้นที่คิดว่าดีที่สุดและถือมันเป็นเวลานาน ตัวอย่างเช่น บริษัท Naspers ได้ลงทุนในหุ้น Tencent ตั้งแต่ปี 2001 ด้วยเงินจำนวน $32 ล้านและถือมาเรื่อยๆโดยไม่เคยขายจนปี 2018
สามารถสร้างผลตอบแทนได้เกือบ 8,000 เท่าเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นการที่คุณจะเป็นผู้ชนะคุณต้องเลือกหุ้นให้ถูกต้องและอยู่กับมันให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
นอกจากนี้ Walmart ซึ่งก่อตั้งในปี 1970 หรือกว่า 51 ปีแล้ว เชื่อหรือไม่ว่าครอบครัวของ Walmart ไม่มีใครเคยขายหุ้นออกมาเลย ตั้งแต่ Sam Walton ผู้ก่อตั้งจนถึงรุ่นลูกและรุ่นหลาน ถือไว้โดยไม่ได้ขายแต่ได้รับเงินปันผลทุกปี ทุกวันนี้ตระกูล Walton ติดอันดับเศรษฐีกันหลายคนเลยทีเดียว
7.Mohnish แนะนำให้ซื้อหุ้นในจุดที่เรียกว่า No-brainer หรือจุดที่ซื้อโดยไม่ต้องคิดอะไร เช่นช่วงตอนเกิดโควิด หุ้นดีๆราคาลดลงมาถูกมาก จุดนั้นคือจุดที่ซื้อหุ้นได้ เพราะเรามั่นใจแล้วว่ายังไงก็ไม่ขาดทุนถ้าถือหุ้นยาวๆ
8.เขาแนะนำให้ลงทุนในบริษัทตอนที่มันยังเล็กอยู่เนื่องจากมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ แต่สิ่งที่สำคัญมากก็คือ เราจะลดความเสี่ยงของหุ้นเหล่านั้นได้อย่างไรบ้าง เขาแนะนำว่าให้ดูที่ผู้บริหารเพราะจะมีบทบาทมากในการขับเคลื่อนธุรกิจและวัฒนธรรมขององค์กร
ผมหวังว่าทุกท่านน่าจะได้แนวคิดดีๆในการลงทุนจากนักลงทุนระดับโลกกันครับ
22.02.2023