จับชีพจรการเมืองโลกปี 2023
Written by : #DrArmTungnirun x Liberator
อยากฟังข่าวดีหรือข่าวร้ายก่อนครับ
ข่าวดีคือ ปีนี้จะเป็นปีที่ดีที่สุดของการเมืองและเศรษฐกิจโลก เมื่อเทียบกับสามปีก่อนหน้า
แต่ข่าวร้าย (หากมองไปข้างหน้า) ก็คือ ปีนี้จะเป็นปีที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับสามปีต่อจากนี้เช่นกัน กล่าวคือปีหน้าและปีถัดไปบรรยากาศการเมืองและเศรษฐกิจโลกมีแต่จะย่ำแย่ลง
เราอยู่ในยุคการเมืองโลกนำเศรษฐกิจ ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย สงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี ภูมิรัฐศาสตร์ที่ผันผวน ล้วนเป็นศัพท์ที่คุ้นหูของยุคสมัย สงครามจริงอย่างยูเครนก็เกิดขึ้นและสั่นสะเทือนเศรษฐกิจโลกอย่างหนักไปแล้วเมื่อปีก่อน
แต่ผู้เล่นใหญ่รายสำคัญในการเมืองโลกอย่างจีน ปีนี้กลับทิศทางจากก่อนหน้าอย่างชัดเจน คือจากปิดประเทศมาสามปี พลิกเป็นเปิดประเทศอย่างรวดเร็วเหนือความคาดหมาย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแรงกดดันเศรษฐกิจภายในของจีนที่ย่ำแย่เกินจะรับไหวอีกต่อไป
การเปิดประเทศของจีน จะมาพร้อมกับนโยบายเศรษฐกิจจีนที่ผ่อนคลาย โดยคาดหมายว่าจะมีการเริ่มกระตุ้นและผลักดันการฟื้นตัวเศรษฐกิจอย่างเต็มสูบเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 2
ถึงตอนนั้น การระบาดของโควิดในจีนน่าจะเริ่มอยู่ตัวและเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ประจวบเหมาะกับช่วงการเข้ารับตำแหน่งของรัฐบาลชุดใหม่และนายกฯ คนใหม่ของจีน เป็นจังหวะดีที่จะรีสตาร์ทเครื่องยนต์เศรษฐกิจการฟื้นกลับมาของเศรษฐกิจจีนจะเป็นพลังบวกให้กับเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะต่อเศรษฐกิจเอเชียและไทยที่เชื่อมโยงกับจีนสูงมาก
การพยายามฟื้นเศรษฐกิจของจีนยังส่งผลให้จีนในปีนี้จะกลับมารักษาความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และยุโรปไม่ให้ตกต่ำลงไปมากกว่านี้ ดังที่จีนและสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชัดเจนว่าไม่ต้องการสงครามในปีนี้
จีนเองยังไม่ได้ตอบโต้ใดๆ ต่อการที่สหรัฐฯ คว่ำบาตรอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์ของจีน สะท้อนว่าจีนไม่ต้องการยกระดับความขัดแย้ง ขณะเดียวกัน จีนได้แต่งตั้งฉินกัง ทูตจีนประจำสหรัฐฯ เป็น รมว.ต่างประเทศคนใหม่ ซึ่งสะท้อนการให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ
ส่วนกับยุโรป จีนเองก็กลับมาเดินเกมการทูตเชิงรุกอีกครั้ง สีจิ้นผิงได้พบผู้นำเยอรมันและฝรั่งเศสเมื่อเดือนธันวาคม โดยในขณะที่สงครามยูเครนยังยืดเยื้อ ยุโรปเองก็ต้องการรักษาความสัมพันธ์กับจีนให้มีเสถียรภาพในระดับหนึ่ง เพราะก็ยังจำเป็นต้องพึ่งพาจีนในเรื่องเศรษฐกิจ
ดังนั้น ความสัมพันธ์จีนกับสหรัฐฯ และยุโรป แม้จะไม่สามารถกลับมาดีเด่นเหมือนก่อนยุคสงครามการค้า แต่อย่างน้อยในปีใหม่นี้ ก็จะมีเสถียรภาพระดับหนึ่ง และไม่ตกต่ำเสียหายไปมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะทุกฝ่ายต่างจำเป็นต้องกลับมาสนใจปัญหาภายในด้วยกันทั้งสิ้น สำหรับจีนคือการฟื้นเศรษฐกิจ สำหรับสหรัฐฯ คือเศรษฐกิจถดถอยที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และสำหรับยุโรปคือปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจจากผลของสงครามยูเครน
คำถามสำคัญในการเมืองโลกคือสถานการณ์ยูเครนจะดิ่งเหวไปมากกว่านี้ไหม การประเมินของผมก็คือสงครามยูเครนจะยังคงไม่จบง่ายๆ เพราะทั้งยูเครนและรัสเซียคงไม่สามารถเจรจากันได้ จึงยืดเยื้อลากยาวแน่ แต่ก็จะไม่ยกระดับความรุนแรงไปมากกว่านี้ โอกาสจะถึงขั้นสงครามนิวเคลียร์หรือขยายขอบเขตไปรบกับนาโต้ถือว่าต่ำมาก
เหตุผลหลักเป็นเพราะจีนไม่เอาด้วยและส่งสัญญาณชัดขึ้นว่าไม่ได้หนุนรัสเซียเต็มที่ และที่จีนไม่ต้องการอย่างเด็ดขาดคือการยกระดับเป็นสงครามนิวเคลียร์ แถมจีนเองก็ใช้อิทธิพลและแรงกดดันที่จีนยังพอมีได้ต่อรัสเซียเป็นไพ่ในการต่อรองผลประโยชน์กับสหรัฐฯ และยุโรป ด้วยปัจจัยเหล่านี้ สงครามยูเครนจึงน่าจะลากยาวแต่คงรบพุ่งกันอยู่ในระดับปัจจุบันต่อไป
แล้วสมรภูมิใหม่อย่างไต้หวันจะมีสงครามได้หรือไม่ ย้อนนึกถึงต้นปีที่แล้ว ถ้าใครทำนายสงครามยูเครนได้คนนั้นคงมีตาวิเศษ มาถึงต้นปีใหม่นี้ หลายคนเลยเริ่มร้อนๆ หนาวๆ ถึงความขัดแย้งในไต้หวัน ยิ่งได้ข่าวแว่วมาว่าประธานสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่ของสหรัฐฯ เควิน แมคคาร์ธีร์ประกาศจะไปเยือนไต้หวันอีกเช่นเดียวกับแนนซี เพโลซีเมื่อปีที่แล้ว ยิ่งหัวใจเต้นแรง
แน่นอนว่าปีนี้เราคงมีข่าวเรื่องไต้หวันให้ตื่นเต้น กระแสสงครามน้ำลายระหว่างจีนและสหรัฐฯ คงจะร้อนแรงเฉกเช่นปีที่แล้วหากเควิน แมคคาร์ธีร์ตัดสินใจไปเยือนไต้หวันจริง จีนอาจอ้างเป็นเหตุผลมาซ้อมรบปิดเกาะยกระดับอุณหภูมิแสดงความไม่พอใจอีกเหมือนปีที่แล้ว แต่ทั้งหมดทั้งปวงนั้น ผมยังคงฟันธงว่าจะไม่ลุกลามไปสู่สงคราม ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าปีนี้ไม่มีใครพร้อมรบไม่ว่าจะเป็นจีนและสหรัฐฯ และสถานการณ์ยังไม่เข้าขั้นสุกงอมพอ
ปีหน้าสิครับ จะมีการเลือกตั้งทั้งในสหรัฐฯ และไต้หวัน ซึ่งมีโอกาสได้ผู้นำที่ดุดันขึ้นทั้งคู่ และปี 2027 จะเป็นปีครบรอบ 100 ปี กองทัพจีน ไว้เราค่อยไปกังวลเอาช่วงนั้นอีกทีดีกว่า ปีนี้ยังไม่เกิดสงครามไต้หวันหรอกครับ
แต่อ่านมาถึงตรงนี้ คงจะได้ข้อสรุปแล้วว่า เราอยู่ท่ามกลางพายุการเมืองโลกไม่มีวันหวนกลับไปยุคคลื่นลมสงบ แต่ปีนี้จะเป็นปีที่คลื่นลมไม่ผันผวนมากเท่าสามปีก่อนหน้าและสามปีถัดไป เพราะจะได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศของจีนที่ปิดมา 3 ปี และการกลับลำนโยบายหลายเรื่องของจีนเอง ซึ่งเป็นผู้เล่นหลักในการเมืองโลก
หลังวิกฤตโควิดของจีนคลี่คลายในต้นไตรมาสที่ 2 ย่อมจะเป็นโอกาสและจังหวะที่คลื่นลมการเมืองและเศรษฐกิจโลกกลับมาสงบและเสถียรชั่วคราว นักลงทุนและนักธุรกิจควรตักตวงและเดินเกมรุกคว้าโอกาสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและการพักการยกระดับสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีไว้ให้ได้ เพราะนี่น่าจะเป็นช่องแห่งโอกาสครั้งสุดท้าย ปีถัดจากนี้หุบเหวรออยู่ข้างหน้าและพายุมีแต่จะโหมแรงขึ้น
19.1.2023