Written by : #หนีดอย x #Liberator





2 สัปดาห์แรกได้ผ่านมาแล้วในปีใหม่นี้ เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ดูตรงกันข้ามกับปีที่แล้ว ปีที่ผ่านมามีการขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงจากภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น มาอยู่ที่ 4.25-4.50% ในช่วงการประชุมของธนาคารสหรัฐอเมริกาในช่วงวันที่ 13-14 ธันวาคมที่ผ่านมา เราได้เห็นการแข็งค่าจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และการล่มสลายของตลาดหุ้นโดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม meme stocks





บทความนี้ถือเป็นบทความแรกของปี แต่เป็นบทความที่ 3 ที่ผมจะพาคุณผู้อ่านมาดูว่า สินทรัพย์แต่ละอย่างมีการเปลี่ยนทิศทางกันอย่างไร เทียบกับปีที่แล้ว





#USDollarIndex





การปรับตัวทะยานขึ้นของดัชนีสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือค่าเงินสหรัฐแข็งค่าขึ้นตั้งแต่เริ่มปี 2022 จนถึงปลายปี มาถึงตอนนี้ ดัชนีนี้ปรับตัวลงมาอยู่แถวๆตัวเลขในช่วงเดือนมิถุนายน 2022 เรียบร้อย อย่างรวดเร็ว ซึ่งการอ่อนค่าลงของ US Dollar ก็นำมาซึ่งการแข็งค่าของสกุลเงินอื่นๆ รวมถึงบาทไทยด้วย





หากพิจารณาดูจากกราฟค่าเงินบาทไทยเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ จะพบว่าค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น จากที่เคยทำจุดสูงสุดที่ 38.46 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงตุลาคม 2022 มาถึงตอนนี้ ค่าเงินบาทแข็งค่ามาอยู่ที่ 32.87 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐเทียบเท่ากับเมื่อตอนช่วงมีนาคมปีที่แล้ว โดยใช้เวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้นลงมาแตะที่อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน ซึ่งก็ใกล้เคียงกับกราฟการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ





#ทองคำ





การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำทะยานขึ้นอีกครั้ง จากฝันร้ายของปีก่อนที่ราคาทองคำร่วงลงไปอยู่จุดต่ำสุดของปีที่แล้วแถวๆระดับ 1,614 USD/OZ ในช่วงกันยายนจนถึงพฤศจิกายน ก่อนใช้เวลาเพียง 2 เดือน ก็ทะยานยืนอยู่เหนือ 1,900 USD/OZ โดยการอ่อนค่าของ US Dollar นั้นก็ได้ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาราวๆ 5% และอาจมีแนวโน้มพุ่งทะลุ 2,000 USD/OZ ถ้าสกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงไปมากกว่านี้ก็เป็นได้





#Bitcoin





สินทรัพย์ Cryptocurrency อย่าง Bitcoin ที่รูปแบบแนวโน้มคล้ายกับหุ้นเทคโนโลยี และดูเหมือนมีความสัมพันธ์แบบแปรผกผันกันกับ US Dollar index ก็ปรับตัวขึ้นแรงเช่นกัน โดยปรับตัวขึ้นมาราวๆ 35% จากจุดต่ำสุด ในช่วงพฤศจิกายนปีที่ผ่านมาและราคายืนอยู่เหนือ 20,000 USD/BTC อยู่ ณ ปัจจุบัน





#หุ้นTech





หากใช้ตัวแทน ETFs อย่าง QQQ ที่ลงทุนตาม NASDAQ-100 Index ซึ่งลงทุนในตลาด Nasdaq ส่วนใหญ่จะถือ Large-cap technology อาทิเช่น Apple , Microsoft , Amazon และ Google จากกราฟจะเห็นว่า QQQ ไม่ทำจุดต่ำสุด และมีการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีใหม่นี้





#BreakevenRates





ในขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อคาดหวัง แนวโน้มก็ค่อยๆ ปรับตัวลงมาจากที่เคยสูงกว่า 6% ในปีที่แล้วช่วงต้นเดือนมีนาคม มาอยู่แถวๆ 1.81 ในปัจจุบัน





#MemeStocks





หากใครยังจำกันได้ ช่วงต้นปี 2021 หรือ 2 ปีก่อน หุ้นกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็น GameStop Corp., Bed Bath & Beyond Inc., และ AMC Entertainment Holdings Ltd.ที่เป็นกระแสกับนักลงทุนกับการพุ่งสูงขึ้นของราคาสินทรัพย์กลุ่มนี้ คือซื้อวันนี้ รวยในวันนั้นได้เลย ซื้อยังไงก็ชนะ ณ ช่วงเวลาหอมหวานตอนนั้น ก่อนที่ราคาหุ้นจะดำดิ่งหลังจากการการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ในปีที่ผ่านมา หากดูจากกราฟด้านล่าง จะเห็นการฟื้นคืนของราคาสินทรัพย์อย่างมีนัยยะสำคัญในช่วง 2 สัปดาห์แรกของปีใหม่นี้





#ChineseStocks





หลังการคุมเข้มของรัฐบาลจีนในอุตสาหกรรมต่างๆหลายประเภท รวมถึงนโยบายโควิดเป็นศูนย์จากทางการจีนเอง สินทรัพย์ของจีนไล่ตั้งแต่อสังหาริมทรัพย์รวมไปถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี พากันร่วงตามๆกันตั้งแต่ในช่วงปี 2021 แต่ ณ ตอนนี้เราเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นคืนกลับมาบ้าง หลังจากมีการผ่อนคลายทั้งนโยบายการเปิดประเทศซึ่งเป็นการลดความเข้มงวดการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมไปถึงการผ่อนปรนในการคุมเข้มอุตสาหกรรมต่างๆ จากกราฟจะเห็นราคาของ iShares China Large-Cap ETF, DiDi Global Inc, Alibaba Group Holding Ltd, และ KraneShares CSI China Internet ETF ที่เริ่มปรับตัวขึ้นตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนมาถึง 2 สัปดาห์แรกของปีใหม่นี้





#Copper





ในหลายปีที่ผ่านมา ทองแดงถือเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจโลก หลังจากประเทศจีนได้เปิดประเทศในวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ก็ทำให้เกิดโมเมนตัมเชิงบวกกับประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ หลังเปิดปีใหม่นี้มา เราเริ่มเห็นการขยับขึ้นของราคาทองแดง





อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ก็ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา จะดำเนินต่อแบบนี้ต่อไป ยังคงมีเครื่องหมายคำถามถึงความไม่แน่นอนหลายประการ เพราะต้องอย่าลืมว่า เงินเฟ้อ คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ FED ยังคงต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อควบคุมให้อยู่หมัด เพราะการต่อสู้อย่างดุเดือด ก็อาจนำมาซึ่งบาดแผลอย่างภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่หลายๆฝ่ายก็มองว่าน่าจะเกิดขึ้นในปี 2023 นี้ เราเหล่านักลงทุนก็คงต้องติดตามกันต่อไป ว่าจะเป็นหนังคนละม้วนกับปี 2022 รึเปล่า แต่อย่างน้อยก็ยังพอเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์กันแล้ว แม้จะอยู่ไกลๆก็ตามที โดยเฉพาะผลประกอบการที่จะทยอยประกาศกันออกมา ซึ่งจะทำให้เราพอเห็นภาพแล้วว่ากำไรลดลงมากน้อยเพียงใด





แล้วพบกันใหม่ในบทความต่อไปครับ





17.1.2023