บทความ LIB Learn เดิม
เมื่อผลประกอบการของบริษัทในสหรัฐบ่งชี้ว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมาถึงแล้ว
ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย นักลงทุนในตลาด Wall Street พยายามจับตาดูถึงการถดถอยของกำไรบริษัทที่ยืดเยื้อที่สุดในรอบ 7 ปี โดยหลังจากการประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกใกล้สิ้นสุดลง ผลกำไรของบริษัทใน S&P500 ถูกคาดว่าจะลดลงโดยเฉลี่ย 3.7% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในขณะที่ข้อมูลจากทาง Bloomberg Intelligence แสดงถึงว่า 78% ของบริษัทในกลุ่มทำได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ก็ไม่ถือว่าน่าประทับใจเท่าไหร่ เพราะนักวิเคราะห์ได้ปรับลดความคาดหวังลง ที่สำคัญมากกว่านั้นคือเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกันแล้วของการลดลงของกำไรในบริษัทสหรัฐฯ การคาดการณ์ผลประกอบการในตลาดขาลงนี้มีจุดต่ำสุดที่ไตรมาส 2 อยู่ในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน ปี 2023 ซึ่งมีกำไรลดลง 7.3% ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg Intelligence นอกจากนี้จะยังมีความต้องการของผู้บริโภคที่ลดลงจะขยายตัวต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ จากนั้นจึงค่อยมีการขยายตัวของกำไรในไตรมาสถัดไป
หากย้อนดูภาพรวมกำไรต่อไตรมาสในอดีต จะพบว่าช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่กำไรตกต่ำลงนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2016 หรือ 7 ปีก่อน แม้ว่าจะไม่ลดลงมากเท่าอย่างช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2020 ที่ลดลงถึง 33.1% ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ตาม สิ่งนี้จึงบอกเป็นนัยได้ว่าผลกำไรที่ถดถอยนี้จะยาวนานกว่าช่วงที่มีโรคระบาดเสียอีก การลดลงของกำไรมากกว่า 3 ไตรมาสติดกันนี้ มีให้เห็นครั้งสุดท้ายในช่วงระหว่างปี 2015 ถึง 2016 เมื่อธนาคารกลางสหรัฐเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบสุดท้าย ซึ่งสิ่งนี้เองอาจะเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า ดัชนี S&P500 จึงยังคงย่ำอยู่กับที่นับตั้งแต่เมษายนที่ผ่านมา
แต่ก็ยังมีคนมองโลกในแง่ดีที่เห็นว่าการคาดการณ์ข้างต้นดูจะแย่เกินกว่าเหตุ เพราะในหลายๆบริษัทนั้นก็ทำได้เกินกว่าเป้าหมายในไตรมาสแรก โดยระบุว่าพวกกลุ่มคนที่มองโลกในแง่ไม่ดี ก็เอาแต่เห็นว่าแนวโน้มกำไรลดลงต่อเนื่อง และการคาดการณ์ของหลายๆบริษัทในไตรมาสถัดไปก็ดูไม่สู้ดีนัก
ดังนั้นแล้ว เราจึงควรดูปัจจัยสำคัญต่อไปนี้ในไตรมาสที่กำลังจะมาถึง ว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายที่ถูกกันแน่
1. แรงกดดันในส่วนของ Margin เมื่อพิจารณาจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวกำลังส่งผลกระทบต่ออัตรากำไร ซึ่งไม่น่าจะฟื้นตัวไปจนถึงไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 นี้ บริษัทอย่าง Paypal ก็เป็นหนึ่งในบริษัทที่ออกมาให้ความเห็นเช่นเดียวกันนี้ว่าในส่วนของ adjusted operating margins (อัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้ว) จะไม่เติบโตอย่างที่หวังไว้ บริษัทอย่าง Tyson Foods ก็ออกมาให้ความเห็นถึงการลดอัตรากำไรขั้นต้นเช่นเดียวกัน หากติดตามข่าวจะพบว่าหลายบริษัทไล่ตั้งแต่กลุ่มเทคไปจนถึงค้าปลีกได้ปลดพนักงานนับหมื่นตำแหน่ง ซึ่งผลกระทบนี้เราจะได้เห็นตัวเลขการรายงานผลประกอบการในไตรมาส 2 ว่าเป็นเช่นไรในส่วนของกำไร นอกจากนี้ทางนักยุทธศาสตร์ของ Morgan Stanley คุณ Michael Wilson คาดว่าแรงกดดันของอัตรากำไรจะมีมากขึ้นไปอีก จากค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้นและการแข่งขันด้านราคาของบริษัทต่างๆ
2. แรงกดดันในส่วนของธนาคาร ขณะนี้พบว่าคนอเมริกันจำนวนมากไม่สามารถชำระหนี้ได้ ธนาคารยักษ์ใหญ่สี่แห่งของสหรัฐพบว่า มีการตัดหนี้สูญจากสินเชื่อผู้บริโภคที่ไม่ดีเพิ่มขึ้น 73% เทียบกับปีที่แล้ว การตั้งสำรองเพิ่มสูงขึ้น ยังมีเรื่องของผลกระทบในธุรกิจขนาดเล็กเนื่องจากการปล่อยสินเชื่อของธนาคารที่ลดลงอย่างมาก รวมไปถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบนี้ต่อไปยังกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ โดยระบุว่าธนาคารขนาดเล็กคิดเป็นสัดส่วน 25% ของสินเชื่อในภาคส่วนนี้ ซึ่งปัจจัยจากธนาคารเหล่านี้ ถือเป็นปัจจัยที่น่าจับตามองในไตรมาสสองของปี
3. การเข้ามามีบทบาทของกลุ่ม Tech รายงานผลประกอบการที่ออกมาดีในไตรมาสแรกของปี ไม่ว่าจะเป็นทาง Apple, Meta, Google, Amazon ที่สูงกว่าคาด กลุ่ม Big Tech เหล่านี้น่าจะได้รับประโยชน์อย่างยิ่งจากสัญญาณชะลอตัวการขึ้นดอกเบี้ยของทางธนาคารกลางสหรัฐ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีตัวเลขคาดการณ์ที่ว่าบริษัทในกลุ่มนี้จะรายงานกำไรที่ลดลง 7% ในไตรมาสที่สอง ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทกลุ่มเทคมีสัดส่วน 35% ของกลุ่ม S&P500 ในแง่ของ Market Share โดยทางฝั่งนักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence คาดว่ากลุ่มการเติบโตของกำไรในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี, สื่อ และโทรคมนาคมจะยังคงนิ่งไปจนถึงปี 2024 ทำให้ยังคงมีความเสี่ยงอยู่
4. แรงสนับสนุนจากจีน การเปิดประเทศของจีนมีผลสำคัญอย่างยิ่งต่อตลาด โดยธุรกิจสินค้าหรูหราและสินค้าโภคภัณฑ์จะได้รับอานิสงส์มหาศาล ในขณะที่บริษัทในสหรัฐพึ่งพาการขายของจีนน้อยกว่าบริษัทอื่นในยุโรปและเอเชีย บริษัทอย่าง Tapestry Inc. เจ้าของแบรนด์ Coach และผู้ประกอบการคาสิโนอย่าง Las Vegas Sands รายงานผลกำไรที่ได้รับการหนุนจากการฟื้นตัวของประเทศจีน โดยที่การเติบโตของจีนในไตรมาสแรกพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 ปี สินเชื่อและอุปสงค์ของผู้บริโภคดูจะพุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่น่าจับตามองในผลประกอบการบริษัทสหรัฐที่ได้รับโมเมนตัมจากทางจีนด้วยเช่นกัน
5. การซื้อหุ้นคืนของบริษัทในตลาด การซื้อหุ้นของบริษัทคืนนั้น ถือเป็นปัจจัยเกื้อหนุนในตลาดหุ้นของ Wall Street และเป็นการเพิ่มกำไรต่อหุ้น ให้จับตาดูว่า หลังจากที่ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้นและเงินสดในบริษัทลดลง การซื้อหุ้นคืนเป็นเช่นไรอยู่ จากข้อมูลในไตรมาสแรกของ Goldman Sachs Group รายงานว่า การซื้อคืนในไตรมาสแรกของบริษัทในกลุ่ม S&P500 ต่ำกว่าระดับปีที่แล้วอยู่ 21% และคาดว่าไตรมาสถัดๆไปจะเห็นการประกาศซื้อหุ้นคืนน้อยลง โดยคาดว่าทั้งปี จะมีการซื้อหุ้นคืนมูลค่า 808,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2023 เทียบกับ การซื้อหุ้นคืนที่ 923,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2022
และนี่ก็ถือเป็นแรงกดดันสำคัญต่อตลาดหุ้นที่น่าจับตามองจนถึงปลายปีนี้ หากผลประกอบการบริษัททำกำไรได้ลดลงติดต่อกันหลายไตรมาสจริงตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ก็ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นที่จะลงทุนในตลาดได้...
24.05.2023